ท่ามกลางป่าไผ่อันเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดใบไผ่เท่านั้น ที่ส่งเสียงกรอบแกรบดังแว่วอยู่ร่ำไป
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งรอบตัวนั้นหยุดนิ่ง และมีเพียงเรียวคิ้วของคนตรงหน้าเท่านั้นที่ชัดเจนเป็นพิเศษ
เสียงของนางที่เอื้อนเอ่ยนั้นแผ่วเบา ราวกับจะหายไปในสายลม
แต่นางรู้ว่าหรงซิวได้ยินมันแน่นอน
และนี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาง
เมื่อก่อนนางคิดว่ามันคงยากที่จะพูดเรื่องนี้กับหรงซิว แต่เมื่อยามที่คนทั้งสองต้องเผชิญกับการจากลาที่ดูยาวนานกว่าปกติ นางก็พบว่าการซื่อสัตย์กับหรงซิวนั้นง่ายกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก
และนั่นเป็นเพราะนางอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับเขาต่อไป นางจึงเลือกที่จะพูดออกไปตามตรง
ดวงตาคู่คมของหรงซิววูบไหว
ก่อนจะเอ่ยตอบพร้อมสบตาของนางอย่างแน่วแน่
“หากเจ้ากลับมาไม่ได้ ข้าก็แค่ไปหาเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่ชะงัก
“…องค์ชายจะไม่ถามข้าหน่อยหรือ ว่าเหตุใดข้าถึงมีศัตรูอยู่ในราชวงศ์เทียนลิ่ง?”
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา นางเป็นเพียงเด็กสาวไร้ความสามารถจากตระกูลที่กำลังตกต่ำในแคว้นเย่าเฉิน และเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เทียนลิ่ง
ทว่าหรงซิวกลับไม่นึกสงสัยหรือเอ่ยถาม
มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย พลันหัวเราะเบาๆ
“ข้าสนแค่ว่า เยว่เอ๋อมีความสุขกับการแก้แค้นหรือไม่”
คำพูดนั้นทำเอาฉู่หลิวเยว่ไปไม่ถูก
หรงซิวโน้มตัวเข้ามาใกล้ใบหูของนาง และพ่นลมหายใจอุ่นใส่เบาๆ จนใบหูเล็กร้อนผ่าว
“ไม่ว่าเยว่เอ๋อจะอยู่ที่ใด ข้าก็จะติดตามไปด้วย”
…
ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสและอากาศปลอดโปร่ง ไร้ซึ่งก้อนเมฆบดบังแสงอาทิตย์
เจี่ยนเฟิงฉือกำลังยืนอยู่บนกระบี่ของเขา พลางเหาะลอยขึ้นไปบนอากาศ ส่วนฉู่หลิวเยว่ก็กำลังยืนมองอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง
“เจ้าจะไปจริงๆ หรือ?” เจี่ยนเฟิงฉือเหลือบมองฉู่หลิวเยว่เล็กน้อย “ครานี้เจ้าจะไม่ได้เจอบิดาและคู่หมั้นของเจ้าไปอีกนานเลยนะ”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว
“เช่นนั้น นายน้อยเจี่ยนก็ช่วยพาพวกเขาไปยังราชวงศ์เทียนลิ่งได้หรือไม่?”
เจี่ยนเฟิงฉือตอบกลับทันควัน
“ไม่มีทาง”
การคัดกรองคนของราชวงศ์เทียนลิ่งนั้นเข้มงวดมาก และทุกคนต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
โดยเฉพาะเมื่อสถานที่ที่พวกเขาจะไปในครั้งนี้ คือเมืองซีหลิง เมืองหลวงของราชวงศ์เทียนลิ่ง!
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถข้ามพรมแดนม่านฟ้า และเข้าสู่เมืองซีหลิงได้ ทว่าหากไร้ซึ่งเหตุผลอันควรและสถานะที่เหมาะสม พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปในเมืองหลวงซีหลิงได้
ฉู่หลิวเยว่แบมือออก
นางไม่รู้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้ จักมีอันใดคอยอยู่เบื้องหน้า ฉะนั้นเดินทางคนเดียวย่อมสะดวกกว่าเป็นไหนๆ
เจี่ยนเฟิงฉือกวาดสายตามองนางขึ้นๆ ลงๆ และรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
“ว่าแต่ หลีหวัน…ผู้ลึกลับซับซ้อนคนนั้นเล่า หากพึ่งพาความแข็งแกร่งของเขา เจ้าย่อมเดินทางเข้าไปในพรมแดนม่านฟ้าได้อย่างไม่มีปัญหา”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง
ดูเหมือนเจี่ยนเฟิงฉือจะสนใจเรื่องของหรงซิวมาก เพราะตลอดทางเจ้าตัวเอาแต่พูดถึงเรื่องขององค์ชายไม่หยุดหย่อน
จากนั้นนางก็ส่ายหัว
“เขาเองก็มีเรื่องที่ต้องจัดการ”
เมื่อเห็นว่ายุแหย่ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ผล รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยนเฟิงฉือก็พลันมลายหายไป ก่อนที่เขาจะพ่นลมหายใจออกมา
“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเจ้าถึงอยากอยู่กับคนร้อยเล่ห์มารยาเช่นนั้น”
ทว่าฉู่หลิวเยว่นั้นขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจนิสัยกระแนะกระแหนของเขา
ทั้งสองคนจึงไม่ได้พูดอันใดกันอีก และหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง
เจี่ยนเฟิงฉือกระโดดลงมาจากกระบี่ และโบกสะบัดแขนเสื้อเบาๆ
พลันเกิดกลุ่มฝุ่นควันลอยคลุ้ง
พร้อมค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา!
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วกระโดดลงไป และเดินไปยืนอยู่ข้างๆ เจี่ยนเฟิงฉือ
“นี่คือค่ายกลที่ข้าใช้ยามเดินทางมาที่นี่”
เจี่ยนเฟิงฉือเชิดค้างขึ้น
ส่วนฉู่หลิวเยว่กับขมวดคิ้วเป็นปม
ภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง และไร้ซึ่งผู้คนสัญจร เช่นนั้นแล้ว จะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายซ่อนอยู่ได้อย่างใด?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...