แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ปฏิเสธ และพร้อมส่งนางไปยังความตายให้เร็วที่สุด
“ยินดีมาก”
จ้าวอวิ๋นจื่อคิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะตกลงง่ายๆ แบบนี้ ก่อนหน้านี้นางเตรียมคำพูดข่มขู่และประชดประชันไว้ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดออกไป ทำให้นางรู้สึกเสียใจมาก
นางพูดเสียงเบาว่า
“เจ้านี่ตอบตกลงอย่างบ้าดีเดือดเชียว! อีกเดี๋ยว เจ้าก็จะรู้แล้วว่าจุดจบของการมาล่วงเกินสำนัก
หลิงอวิ๋นเป็นอย่างใด!”
ในแคว้นซีหลิง มีนิกายและสำนักมากมาย
สามารถเรียกได้ว่าสำนักหลิงอวิ๋นเป็นสำนักที่ดีที่สุดในกลุ่มของเหล่านั้น! เขาต้องเป็นสำนักอันดับหนึ่งอย่างปฏิเสธไม่ได้!
สายตาของฉู่หลิวเยว่กวาดตามองไปยังคนไม่กี่คนที่อยู่ด้านหลัง
ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขาแล้ว มีสัญลักษณ์ปักไว้ที่หน้าอกข้างซ้าย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักหลิงอวิ๋น
แต่ว่านางไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตากับคนพวกนั้นเท่าไหร่เลย
นอกจากอาจารย์ที่ดูแลสำนักหลิงอวิ๋นและผู้อาวุโสไม่กี่คน ที่นางเคยเห็นหน้ามาบ้าง ศิษย์คนอื่นๆ นางไม่ค่อยได้เห็นเลย
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของฉู่หลิวเยว่ จ้าวอวิ๋นจื่อก็คิดว่านางกลัว จึงพูดออกมาอย่างภูมิใจว่า
“ไม่ต้องมองแล้ว ศิษย์เหล่านี้ล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีความโดดเด่นที่สุดในรุ่นของสำนักหลิงอวิ๋น! ด้วยฝีมือและความแข็งแกร่งของเจ้า ชาตินี้ทั้งชาติเจ้าก็ไม่สามารถมาเทียบเคียงพวกเขาได้หรอก! หากครั้งนี้ข้าไม่โน้มน้าวพวกเขา เกรงว่าพวกเขาคงจะลงมือแทนข้าไปนานแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นจะเกรงว่าเจ้าคงลงจากสนามในสภาพไม่ดีนัก”
นางขยับตัวเข้ามาใกล้ นางจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่แล้วหัวเราะเสียงเย็น
“ไม่ต้องขอบคุณนะ เพราะข้าจะจัดการด้วยตนเองก็เท่านั้น!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
จ้าวอวิ๋นจื่อคนนี้ เหมือนว่าจะอ่อนโยนไม่มีพิษไม่มีภัย แต่ในใจกลับโหดเหี้ยมน่าดู…
แต่น่าเสียดายที่สมองของนางน่าจะมีปัญหาเล็กน้อย
ก่อนหน้าที่ตอนที่อยู่ชายแดนเหนือ เฉินซีหยวนก็โดนเจี่ยนเฟิงฉือโจมตี ต่อให้พวกเขาไม่รู้จักเจี่ยนเฟิงฉือแต่ก็ควรจะตรวจสอบอีกฝ่ายก่อนที่จะตอบตกลงลงมือต่อสู้
ยิ่งไปกว่านั้นเจี่ยนเฟิงฉือก็เป็นคนที่มีใบหน้างดงามโดดเด่น แค่สืบไม่นานก็น่าจะรู้ได้แล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่พวกเขากลับมาที่ซีหลิงแล้ว เขาไม่มีการถามไถ่สักนิดเดียว
หรือพวกเขาคิดว่า แค่อาศัยสำนักหลิงอวิ๋น ก็คิดว่าไร้เทียมทานแล้วหรือ?
สำนักหลิงอวิ๋นก็ไม่เลว แต่ในซีหลิงแห่งนี้ ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก
“ข้าจะรออย่างใจจดใจจ่อเชียว”
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ยังมีทิฐิสูงตั้งแต่ต้นยันจบ ในใจของจ้าวอวิ๋นจื่อก็รู้สึกโมโหอย่างมาก นางพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสียว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็มาสู้กับข้า! การแข่งขันรอบแรก ข้าเลือกเจ้าแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้น
“การแข่งขัน?”
“หา! เรื่องที่สำคัญขนาดนี้เจ้ายังไม่รู้หรือเนี่ย?!”
จ้าวอวิ๋นจื่อเบิกตากว้างพร้อมหัวเราะขึ้นและพูดอย่างประชดประชันออกมา สายตาที่มองฉู่หลิวเยว่ เต็มไปด้วยคำดูถูก
“อาจจะเป็นเพราะระดับของเจ้านั้นต่ำเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการจะบอกเจ้าเรื่องนี้?”
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองรอบๆ ด้าน ก็พบว่าตรงกลางสนามนั้นมีชายชราสวมชุดคลุมสีขาวยืนอยู่สองคน ด้านหน้าของพวกเขานั้น มีกระดานหินหยกสีดำแผ่นใหญ่ตั้งอยู่
เมื่อมองดีๆ แล้ว ที่แท้ตัวอักษรที่อยู่ด้านบนนั้นล้วนเป็นชื่อคนเรียงต่อกัน
ชื่อพวกนั้นเรียงกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละสองคน ทำเป็นป้ายแผนผังเรียงลำดับการต่อสู้
ด้านหน้าของกระดานหยกนั้น ก็มีผู้คนยืนกันอยู่เป็นจำนวนมาก กลุ่มละสองคน ราวกับว่ากำลังรอให้ชายชราผู้นั้นเขียนชื่อพวกเขาลงไป
“การแข่งขันรอบแรกคือ…แข่งกันสองคน?” ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาแล้วถามขึ้น
“แน่นอนอยู่แล้ว! อีกทั้งนี่แค่รอบคัดเลือก! หลังจากรอบนี้ไปจะเป็นการแข่งขันที่แท้จริง! คนที่ตกรอบในรอบนี้ ก็จะถูกไล่ออกโดยตรง”
ดังนั้นจ้าวอวิ๋นจื่อจึงตั้งใจจะเหยียบฉู่หลิวเยว่ให้จมดินตั้งแต่รอบแรก!
“เหตุใด เจ้าไม่กล้าหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“มีอันใดที่ไม่กล้ากัน? ไปก็ไปสิ”
เมื่อพูดจบนางก็เดินไปที่กลางสนามทันที
เมื่อจ้าวอวิ๋นจื่อเห็นท่าทีที่ผ่อนคลายของนาง จ้าวอวิ๋นจื่อก็คิดในใจว่า ‘ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะเสแสร้งได้นานเท่าใด’
…
ที่กลางสนาม เหมือนว่าทุกคนจะยืนไปเรื่อยเปื่อย แต่ว่าความจริงแล้วพวกเขากำลังสำรวจความแข็งแกร่งของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นอย่างเงียบๆ
ไม่มีใครรู้ว่าในการแข่งขันรอบหน้า ใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของตนเอง
ศึกษาเสียหน่อยก็ไม่ได้เสียหาย
เมื่อฉู่หลิวเยว่กับจ้าวอวิ๋นจื่อเดินผ่านไป ก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อยเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...