หรงซิวหยุดชะงักทันควัน
ขนงเรียวเลิกขึ้นโดยไม่รู้ตัว พลันมองฉู่หลิวเยว่ในอ้อมแขนของเขาและถามช้าๆ ว่า
“เมื่อครู่เจ้า…พูดว่าอันใดนะ?”
ฉู่หลิวเยว่เองก็ผงะตกใจเช่นกัน
การประลองชิงอวิ๋น…
สิ่งนั้นคือกระไร?
เหตุใดจู่ๆ นางถึงพูดประโยคแบบนี้ออกมา?
มันรู้สึกราวกับว่า… เมื่อก่อนนางก็เคยพูดเช่นนี้อยู่เหมือนกัน
“ข้า… ข้าเองก็ไม่รู้…”
ฉู่หลิวเยว่พึมพำพร้อมขมวดคิ้วมุ่น และเอาแต่ขุดคุ้ยค้นหาความทรงจำเหล่านั้น
แต่ก็นึกอันใดไม่ออกอยู่ดี
หรงซิวจ้องมองใบหน้าของนางในระยะประชิด และมองเห็นความสงสัยจางๆ ในดวงตาของนาง จิตใจที่ตื่นตระหนกค่อยๆ ผ่อนคลายลงทีละนิด
เขาเบนสายตาออกไปทางอื่นนิ่งๆ แล้วหลุบตาลงปกปิดคลื่นอารมณ์ในดวงตาของเขา
“ข้าควรจะพาเจ้ากลับได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างเหม่อลอย นางโอบแขนรอบคอของหรงซิวแล้วเอนตัวพิงไหล่แกร่ง ทว่าขณะเดียวกันนางก็คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่หยุด
การประลองชิงอวิ๋นหรือ…
นางพูดว่า คราวหน้านางจักต้องเอาชนะหรงซิวในงานประลองชิงอวิ๋นให้ได้?
“หรงซิว”
ทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็โพล่งออกมา พร้อมจ้องเขาไปในดวงตาของหรงซิว
“เจ้า… เคยได้ยินเรื่องงานประลองชิงอวิ๋นหรือไม่?”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ แสงอัสดงยามพลบค่ำตกกระทบลงบนกายลักษณ์อันนุ่มนวลและสง่างามของเขา จนคนมองถึงกับใจสั่นรัว
แต่เขาไม่ตอบอันใด
ฉู่หลิวเยว่ค่อนข้างสับสนงุนงง
การที่หรงซิวทำท่าทางเช่นนี้ หมายความว่าเขาเองก็ไม่รู้สินะ
แต่แล้วเหตุใดครู่ก่อนนางถึงพูดเช่นนั้นกับหรงซิวล่ะ?
บางที สิ่งนี่อาจจะเกี่ยวข้องกับความทรงจำที่หายไปของนางด้วยก็ได้?
ฉู่หลิวเยว่ตกอยู่ในห้วงความคิด โดยวางแผนว่าหลังจากกลับถึงจวนแล้ว นางจะหาโอกาสคิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง
หรงซิวเดินกลับพร้อมประคองคนในอ้อมแขน
โชคดีที่หลังจากฉู่หลิวเยว่กลับมา เหล่าคนใช้ก็ได้ทำความสะอาดจัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว และตอนนี้ในตำหนักเจาเยว่ ก็แทบไม่มีคนใช้อยู่เลยสักคน
อีกทั้งสนามฝึกแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ส่วนตัวในตำหนักเจาเยว่ ทางจากตรงนี้สามารถเชื่อมไปยังห้องบรรทมของนางได้โดยตรง
ดังนั้นระหว่างทางจึงไม่พบใครเลย และหรงซิวก็พานางตรงไปยังห้องบรรทม
“เยว่เอ๋อ…”
เขาขานเรียกอีกคน แต่กลับพบว่าคนในอ้อมแขนของเขาเงียบไปแล้ว
นัยน์ตาคู่คมหลุบมองหญิงสาวในอ้อมแขนที่กำลังหลับเอนกายพิงไหล่เขา ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่านางหลับไปเสียแล้ว
หรงซิวหัวเราะแกมเอ็นดู แต่ก็แอบปวดใจ
นั่นเพราะนางอาจเหนื่อยจากการฝึกซ้อมก่อนหน้านี้
แต่ความจริงแล้ว การที่นางผล็อยหลับในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็วนั้น ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสบายใจขอนางเช่นกัน
และสิ่งนี้ทำให้หรงซิวโล่งใจขึ้นมาก
เขาวางนางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง พลางเช็ดเหงื่อออกแล้วห่มผ้านวมผืนบางให้นาง
เมื่อมองไปยังใบหน้านวลที่กำลังหลับใหล แววตาของหรงซิวก็ค่อยๆ แสดงความอ่อนโยนออกมา
ในอดีตเวลาที่นางฝึกซ้อมเช่นนี้ แม้ว่านางจะเหนื่อยล้าอยู่บ่อยครั้ง แต่นางก็แทบจะไม่ค่อยผล็อยหลับใส่กันเช่นนี้
การกลับมาซีหลิงเพื่อล้างแค้นในครั้งนี้ คงจะทำให้นางสูญเสียพลังปราณและแรงใจไปเยอะมาก
ให้นางได้พักผ่อนเสียหน่อย ย่อมดีต่อตัวนางที่สุดแล้วในตอนนี้
หรงซิวจับข้อมือของนางไว้
ก่อนจะค่อยๆ ถ่ายเทพลังปราณที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนเข้าสู่ร่างกายของนาง
นางหลับลึกและละเมอฝันถึงบางสิ่ง
หรงซิวตั้งใจฟัง และจับคำได้ว่ามันน่าจะเกี่ยวกับงานประลองชิงอวิ๋น
เขาพลันขมวดคิ้ว
ปัจจุบันนางยังไม่ทะลวงถึงจอมยุทธ์ระดับเจ็ด และเจ้าสิ่งนั้นก็ยังถูกผนึกอยู่ในร่างกายของนางอย่างดี ฉะนั้นนางจึงยังไม่น่าจะนึกถึงเรื่องเหล่านี้ได้
แต่ดูเหมือนว่ามันจะเร็วกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ด้วยความอบอุ่นจากพลังปราณของหรงซิว ส่งผลให้ขนงเรียวที่กำลังขมวดพัวพันของฉู่หลิวเยว่ ค่อยๆ คลายตัวลง และหลับสนิทในที่สุด
หรงซิวยืนอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง พลางเห็นถวนจื่อที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ดูแลนางให้ดี”
ถวนจื่อพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และยากที่จะเห็นมันทำเช่นนี้
จากนั้นหรงซิวก็หันหลังและจากไป
พร้อมกับเสวี่ยเสวี่ยที่ตามหลังเขาไปติดๆ
…
เมื่อออกมาจากตำหนักเจาเยว่แล้ว หรงซิวก็ทอดสายตามองไปไกลบริเวณทิศทางหนึ่ง
ถ้าจำไม่ผิด ตรงนั้นน่าจะเป็นที่ตั้งของตำหนักฮวาหยาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...