เย่ว์หลิงต้องการถามบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากออกไป
และในขณะที่หรงซิวยกกล่องไม้ขึ้นมา ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก
“องค์ชายขอรับ ข้าน้อยมีสารมาแจ้งขอรับ”
นี่คือเสียงของอวี๋มั่ว
เย่ว์หลิงหันมองหรงซิวทันที
หรงซิวจึงตอบกลับไปเบาๆ
“เข้ามาได้เลย”
และตอนนั้นเอง เย่ว์หลิงถึงตระหนักว่าเจ้านายของเขาเป็นคนเรียกตัวอวี๋มั่วมา
อวี๋มั่วผลักประตูเปิดออกและเดินเข้าไป เมื่อเห็นเย่ว์หลิงเขาก็ผงกศีรษะส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเล็กน้อย พลันรีบวิ่งไปคำนับหรงซิว
“องค์ชาย ท่านเดาไม่ผิดเลย เจียงอวี่เฉิงติดต่อกับคนผู้นั้นอีกครั้งจริงๆ ขอรับ”
เย่ว์หลิงตกใจเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น และเอ่ยขอตัวอย่างมีชั้นเชิงทันที
“นายท่าน ข้าน้อยขอตัวไปตรวจดูสินค้าด้านนอกก่อนนะ ขอรับ”
หรงซิวพยักหน้า และเย่ว์หลิงก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ครั้นออกไปแล้วเขาก็ปิดประตูให้อย่างระมัดระวัง
หลังจากออกไปพ้นรัศมีของประตู เย่ว์หลิงพลันทำหน้าเคร่งเครียดทันควัน
ดูเหมือนว่าเจ้านายของเขากำลังวางแผนทำการอันใดบางอย่าง…
…
ช่วงนี้อวี๋มั่วพักอาศัยอยู่ในซีหลิงเพื่อสืบเรื่องของเจียงอวี่เฉิงอย่างลับๆ
หลังจากแผนการลับของเขาถูกเปิดโปง เมื่อไม่นานมานี้ครอบครัวของเจียงอวี่เฉิงก็ถูกประหารชีวิต ส่วนเจียงอวี่เฉิงเองก็ถูกจำคุกเช่นกัน
อวี๋มั่วใช้เวลาอยู่นาน และในที่สุดก็ค้นพบเงื่อนงำนี้
“เวลาที่คาดไว้คือเมื่อวานก่อน”
ในดวงตาของอวี๋มั่วแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
“เขาเลือกช่วงเพลานี้เพราะคนในตระกูลเจียงเสียชีวิตหมดแล้ว และทุกคนก็ลดความหวาดระแวงในตัวเขาลง เจียงอวี่เฉิงผู้นี้เห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุด และเพื่อให้ตัวเองรอด เขาถึงขั้นยอมแลกแม้กระทั่งชีวิตของคนในครอบครัว”
หรงซิวแสยะยิ้ม
“แต่ไหนแต่ไร เจ้านั่นก็เห็นแก่ตัวเองมาตลอด ไม่แปลกที่เขาจะทำสิ่งนี้”
เจียงอวี่เฉิงคิดว่าตัวเองนั้นเก่งกาจเหนือผู้ใด แต่กลับฉลาดเกินไปจนเสียรู้เสียเอง
“แล้วหาตัวคนผู้นั้นเจอหรือยัง?”
อวี๋มั่วชะงักพลันส่ายหัว
“ข้าน้อย… ค้นพบเพียงว่าอีกฝ่ายคือคนที่คอยหนุนหลังเจี่ยงอวี่เฉิงมาตลอด แต่ยังไม่พบตัวตนของเขา”
หรงซิวไม่ได้ว่าอันใดเขา
“แค่นี้เจ้ายังสืบหามาได้ง่ายๆ เช่นนั้นข้อมูลที่เหลือคงไม่อยากเกินความสามารถของเจ้าแล้ว”
“ตอนนี้เจียงอวี่เฉิงถูกขังอยู่ในตำหนักฮวาหยาง แล้วเขาส่งข่าวออกไปได้อย่างใด?”
อวี๋มั่วหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“ข้าน้อยจะพาคนเข้าไปตรวจหาหนอนบ่อนไส้ในตำหนักฮวาหยางเองขอรับ!”โนเวล-พีดีเอฟ
…
ณ จวนตระกูลมู่
วันรุ่งขึ้น แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง
เปลือกตาของมู่ชิงเห่อกระตุกเล็กน้อยและในที่สุดก็เปิดออก
ยามลืมตาขึ้นในคราแรก ดวงตาของเขาพร่ามัวจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง
“ตื่นแล้วหรือ?”
พลันมีเสียงเย็นชาดังมาจากด้านข้าง
มู่ชิงเห่อหันศีรษะไปดู และเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
เจี่ยนเฟิงฉือกำลังกอดอกมองเขาด้วยความเย้ยหยัน
ใต้ตาเขาปรากฏรอยคล้ำสองรอย อีกทั้งสีหน้าซีดเซียวราวกับพักผ่อนไม่เพียงพออีก
“น้อยคนนักที่สามารถทำให้ข้ายอมลงทุนทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดในการช่วยชีวิตคนเช่นนี้ ต่อจากนี้ไป เจ้าเป็นหนี้ชีวิตข้าแล้ว! รู้ไว้เสียด้วย!”
มู่ชิงเห่อลุกขึ้นนั่ง พลางจับประคองศีรษะที่ยังปวดอยู่ ใบหน้าของเขาเฉยชาไร้ความรู้สึก
“จะเสียแรงช่วยข้าไปไย”
ร่างกายของเขา เขาย่อมรู้ดี เจี่ยนเฟิงฉือ… ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยจริงๆ
เมื่อเจียงอวี่เฉิงได้ยินเช่นนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และอยากจะขึ้นไปทุบตีเขา
“เจ้านี่มัน…”
แต่พอคิดได้ว่ากว่าตนจะยื้อชีวิตเขากลับมาได้นั้นยากลำบากเพียงใด เขาก็ยอมลดโทสะลงเล็กน้อย แต่ก็ยังมิวายชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างโกรธเคือง
“ปากดีจริงเชียว! ข้าช่วยเจ้าเพราะกินอิ่มแล้วไม่มีอันใดทำ[1]เฉยๆ หรอก!”
มู่ชิงเห่อเอนกายลงนอนบนเตียง แล้วหลับตาไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
“ข้าไม่ได้ติดหนี้ชีวิต แค่กับเจ้าคนเดียว”
สิ่งที่เขาติดค้างฉู่หลิวเยว่ไว้ ยังมิได้ถูกชำระล้างเสียหมด
เจี่ยนเฟิงฉือระงับความโกรธในใจของเขาไว้ และตั้งใจว่าจะไม่สู้รบปรบมีกับเขาในเรื่องนี้อีก ร่างโปร่งของบุรุษก้าวไปข้างหน้า แล้วดึงเก้าอี้ออกมาและนั่งลงตรงข้ามมู่ชิงเห่อ
“บอกข้าสิ! ว่าเกิดอันใดขึ้นกับร่างกายของเจ้ากันแน่!”
มู่ชิงเห่อกล่าวเสียงเบา
“ก็แค่แผลเก่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...