บทที่ 445 ถูกคนวางยาพิษ
“คุณชายป้อง ครับ พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ไวน์ของคุณชายบุริศร์เป็นแก้มรับผิดชอบมาโดยตลอด ที่นี่มีบันทึกไว้หมด วันนี้ก็เป็นแก้มนำไวน์มาให้คุณชายบุริศร์ คุณชายบุริศร์เองก็ประทับใจด้วยนี่ครับ!”
บุริศร์ผงกหัวเล็กน้อยกับคำพูดของผู้จัดการแผนกต้อนรับ
“ใช่ มีหญิงสาวหน้ากลมคนหนึ่งรับฝากไวน์ของฉันตลอด ฉันยังจำได้ว่าเธอยังเป็นนักศึกษาอยู่และไม่ได้มีชีวิตที่ร่ำรวยจึงมาทำงานที่นี่ เป็นหญิงสาวคนนั้นจริงๆ ฉันสั่งให้เธอคอยดูแลไวน์ของฉันด้วยตัวเอง และให้ค่าบริหารจัดการหนึ่งพันหยวนทุกเดือน”
บุริศร์ยังรู้สึกประทับใจแก้มผู้นี้อยู่เล็กน้อย
บัดนี้ได้ยินผู้จัดการแผนกต้อนรับพูดแบบ ถึงได้เปิดปากพูด
“ในเมื่อเป็นคนที่นายมองในแง่ดีขนาดนี้ ทำไมถึงวางยาพิษในไวน์กับแกได้ล่ะ?”
“อะไรนะ? วางยาพิษ?”
ผู้จัดการแผนกต้อนรับกลอกตาด้วยความตกใจแล้วเป็นลมล้มลงไปทั้งตัวทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของป้อง
ป้องเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้วก็ตะคอกอย่างเย็นชาว่า : “อย่าคิดว่าเป็นลมไปแล้ว เรื่องนี้จะทำเป็นเล่นได้นะ ปลุกเขาให้ผม แล้วหาคนไปโรงพยาบาลด้วยกันกับผมเพื่อทำการตรวจสอบ หากไวน์นี้มีปัญหาจริงๆ คลับCrownของพวกคุณจะต้องให้คำอธิบายกับผมและคุณชายบุริศร์”
ป้องเคยเห็นสถานการณ์แบบนี้มาหลายครั้ง แล้วจะถูกการแกล้งเป็นลมของผู้จัดการแผนกต้อนรับหลอกเอาได้ยังไง?
ถึงยังไงก็ต้องหาคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ออกมาให้ได้
เขากับบุริศร์ไม่สะดวกที่จะดึงใครสักคนออกมา ถ้าอย่างนั้นคลับCrownจะต้องรับผิดชอบในการตามหาแก้ม คนนี้
บริกรรีบหยิกผู้จัดการแผนกต้อนรับอย่างรวดเร็ว ทำให้ตื่นขึ้นมาแล้ว นอกจากนั้นยังบอกด้วยว่าป้องหมายความว่าอย่างไร
ผู้จัดการแผนกต้อนรับอยากจะร้องแต่ก็ร้องไม่ออกเลย
“ป้อง,คุณชายบุริศร์ พวกเราถูกป้ายความผิดจริงๆนะครับ!”
“ป้ายความผิดหรือไม่ ให้หลักฐานมัดตัวพวกคุณแล้วกัน ให้บริกรคนนี้ไปกับพวกเรา!”
ป้องพยุงบุริศร์ลุกขึ้น
บุริศรู้สึกว่ามือและเท้าอ่อนนุ่ม บังคับตัวเองไม่ได้แล้ว
บุริศร์ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความอ่อนแอประเภทนี้ได้
เขาเคยชินกับความแข็งแกร่งมาตลอด จู่ๆกลายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้จำเป็นจะต้องพึ่งพาการช่วยเหลือของป้องถึงจะสามารถลุกขึ้นยืนได้ มันทำให้บุริศร์หงุดหงิดอย่างมาก
“ฉันเป็นอะไรกันแน่?”
บุริศร์ใช้น้ำเสียงที่ได้ยินกันสองคนเท่านั้นถามป้อง
ป้องโคลงศีรษะแล้วพูดว่า : “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดกัน ยิ่งไปกว่านั้นฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วค่อยคุยกันเถอะ แก้มคนนั้น นอกเหนือจากที่แกรู้ว่าเป็นนักศึกษาแล้วยังรู้เรื่องอื่นๆอะไรอีกบ้าง?”
“ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรเด็กผู้หญิงคนนั้น ฉันจะไปตรวจสอบทำไม นอกจากนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นขี้อายมาก และพูดน้อยมากด้วย แต่เวลาทำงานนั้นนับว่าขยันมาก ฉันรู้แค่เรื่องพวกนี้ก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆไม่ได้ถาม”
บุริศร์รู้สึกว่าลิ้นของเขาแห้งผากและพร่าเลือนค่อนข้างรุนแรง
“อยากดื่มน้ำหรือเปล่า?”
ป้องกระซิบถาม
“ไม่อยาก แต่ว่าในใจมันพูดไม่ออกถึงความรู้สึกผ่อนคลายแบบนี้เลย เหมือนกับว่าตัวฉันจะล่องลอยอย่างอิสระยังไงยังงั้น”
คำพูดของบุริศร์ทำให้สีหน้าของป้องเย็นยะเยือกลงมาอีกครั้ง
“เดี๋ยวขึ้นรถแล้วนายหลับได้ก็หลับเลยนะ ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว ปล่อยให้ฉันจัดการก็พอ”
บุริศร์คว้ามือของป้องแล้วพูดว่า : “ถ้าเมียของฉันโทรมา นายห้ามบอกว่าฉันเกิดเรื่องโดยเด็ดขาด รู้ไหม?”
“นายไม่ได้มีปัญหากับเมียอยู่หรือไง? เธอยังจะโทรฉันอีกเหรอ? วางใจเถอะน่ะ ฉันรู้ว่าต้องจัดการยังไง”
คำพูดของป้องทำให้บุริศร์ค่อนข้างโล่งใจอยู่ไม่น้อย
ทั้งคู่ขึ้นไปบนรถและหยิบเอาขวดไวน์แดงรวมทั้งบริกรของคลับเฮาส์ไปที่โรงพยาบาลทหารด้วยกัน
ป้องถือไวน์แดงไปที่ห้องทดลองทันทีแล้วยังเป็นครั้งแรกที่ทำการเจาะเลือดของบุริศร์อีกด้วย จากนั้นก็เตรียมห้องผู้ป่วยวีไอพีและหยุดการติดต่อไม่ว่ากับใครทั้งนั้น
เพราะว่าภรรยาของป้องเป็นคณบดีของโรงพยาบาลทหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนทำอย่างเป็นความลับ
บุริศร์เริ่มนอนหลับหลังจากที่ขึ้นไปบนรถแล้ว สมองนั้นเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแล้วก็ไม่รู้ว่ากำลังฝันอะไรอยู่ อย่างไรก็ตามความรู้สึกล่องลอยนี้เป็นเรื่องดี
เขายิ้มเหมือนกับเป็นคนโง่คนหนึ่ง
ป้องเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้วจึงจำเป็นต้องมัดเขาไว้บนเตียง จากนั้นก็ล๊อคประตู
บริกรไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุริศร์ แต่พอเห็นสถานการณ์แล้วอย่างนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกขึ้นมา
“คุณชายป้อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราจริงๆนะครับ พวกเราไม่รู้อะไรเลย”
ป้องเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วประเมิณว่าในคำพูดของเขานั้นจริงหรือเท็จก่อนพูดอย่างราบเรียบว่า : “ทุกอย่างรอผลการทดสอบออกมาแล้วค่อยคุยกัน”
เขาเข้าไปในห้องทดลองอย่างรวดเร็ว
คนของห้องทดลองล้วนแต่เป็นคนสนิทของป้อง แต่ทว่ายังถูกเขาไล่ออกไป เหลือเพียงเขากับภรรยาสองคนเท่านั้น
“เรื่องอะไรกัน? ซีเรียสขนาดนี้เชียว? เพื่อนร่วมงานในโรงพยาบาลมาจากเขตทหารทั้งหมด คุณจะกลัวอะไร?”
ป้องได้ยินโพนี่ภรรยาถามอย่างนี้แล้วก็พูดเสียงเบาว่า : “คุณทดสอบว่าในไวน์แดงขวดนี้คืออะไรก่อน ผมจะดูว่าในเลือดของบุริศร์มีส่วนประกอบของอะไรจากนั้นค่อยคุยกัน”
เห็นสามีจริงจังอย่างนี้แล้ว โพนี่เองก็เริ่มเครียดขึ้นมา
ทั้งสองคนเข้าสู่กระบวนการทำงานอย่างรวดเร็ว
ไม่นานเท่าไรนัก คิ้วของโพนี่ก็ขมวดขึ้นในพริบตา
“ป้อง ในไวน์มี…”
“ชู่ว!”
“เป็นแก้มงั้นเหรอ?”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่คนที่สามารถวางยานายได้และคนที่สัมผัสไวน์ไวน์ของนายก็มีแค่เธอเท่านั้น ตอนนี้มีเพียงแค่ต้องหาตัวเธอให้พบแล้วถึงจะรู้ว่าคนที่ต้องการทำร้ายนายแบบนี้คือใคร บุริศร์ พวกนายสองคนผัวเมียล่วงเกินใครเข้างั้นเหรอ? ถึงได้จัดการพวกนายอย่างต่อเนื่องเลย? การค้นหาที่รุนแรงของเมียนายเพิ่งจะผ่านไป นายก็มาเกิดเรื่องนี้อีก โชคดีที่วันนี้มีฉันอยู่ ถ้าเป็นคนอื่น นายจะทำยังไง?”
คิ้วของป้องก็ขมวดอยู่ด้วยกันแล้ว
เขาคิดมาโดยตลอดว่าตระกูลโตเล็กควรจะอยู่อย่างคลื่นลมสงบ แต่ดูเหมือนว่าในช่วงเวลานี้คาดการได้ว่าความวุ่นวายภายในระหว่างบ้านเศรษฐีด้วยกันยังมีไม่หยุดหย่อน
บุริศร์ส่ายหัวแล้วพูดว่า : “ฉันเองก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้คิดว่าเป็นตังเม แต่ว่าตอนนี้ตังเมถูกฉันควบคุมตัวเอาไว้แล้ว
นาครชายชู้ของเธอก็ถูกตรินท์ควบคุมไปแล้ว ยังมีใครที่ต้องการจัดการพวกเราอีกล่ะ?”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะพูดกับนายที่คลับเฮ้าส์ แต่ว่าไม่มีเวลา”
“นายบอกว่าคุณนายทวีทรัพย์ธาดาล้มป่วยไม่ใช่เหรอ? ร้ายแรงมากไหม?”
บุริศร์ถามอย่างเฉื่อยชา ตอนนี้เขารู้สึกว่าลิ้นแห้งผาก ในร่างกายมีความปรารถนาต้องการอะไรบางอย่างมากขึ้น แต่ความปรารถนานี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่มันกลับเหมือนเปลวไฟที่ไหม้ลุกโชน ทรมานประสาทการรับรู้ของเขาไม่หยุดหย่อน
เขารู้ว่าตัวเขาจำเป็นต้องควบคุมตนเอง แม้แต่การไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องของคุณนายทวีทรัพย์ธาดามากนัก
ป้องมองที่เขาแล้วพูดว่า : “ถ้าหากฉันบอกนายว่าเธอเป็นเหมือนกับนายล่ะ?”
“อะไรนะ?”
บุริศร์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจแล้วเห็นว่าป้องไม่เหมือนล้อเล่นเลยแม้นิดเดียว
“มันเป็นเรื่องจริง ฉันไปดูสุขภาพร่างกายของคุณนายทวีทรัพย์ธาดาแล้ว คุณชายธรณีกลัวว่าแม่ของตัวเองไม่อยากไปเมืองหลวงเลยจงใจแกล้งป่วย ดังนั้นเลยโทรมาเรียกให้ฉันไปตรวจดูก่อน พอดีกับที่นายเองก็บอกฉันด้วยเช่นกัน ฉันเลยไปดู ปริมาณของอีกฝ่ายนั้นไม่มากจนน่าตกใจ เทียบกับของนายแล้วยังเบากว่ามาก แต่ว่าฉันก็พอจะมองเห็นเบาะแสบางอย่าง สภาพจิตของคุณนายทวีทรัพย์ธาดาไม่ค่อยจะดีนัก ถ้าเป็นอย่างนี้นานไป กลัวว่าจะถูกทำลายได้”
“นายคุยกับธรณีแล้วหรือยัง?”
คิ้วของบุริศร์ขมวดย่นจนแทบจะกลายเป็นแผ่นน้ำ
“ยังไม่ได้คุย ฉันเพียงแค่บอกว่าเธออายุมากแล้ว ร่างกายอ่อนแอเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดหัวใจวายได้ ฉันต้องคุยกับนายเรื่องนี้ก่อน แล้วฟังความคิดของนาย นายรู้นี่ว่าฉันมีมิตรภาพที่ดีกับนายมากกว่าคุณชายธรณี ถึงแม้ฉันไม่รู้ว่านายคิดยังไง แต่ฉันก็ยังจะคุยเรื่องนี้กับคุณชายธรณี เพียงแค่บอกให้นายรู้ก่อนเท่านั้นเอง”
ป้องชื่นชมตระกูลทวีทรัพย์ธาดาที่องอาจห้าวหาญ ไม่ว่าจะพูดยังไงเขาก็ไม่สามารถมองตาปริบๆดูแม่ม่ายแห่งตระกูลทรัพย์ธาดาถูกคนลอบทำร้ายจนกลายเป็นอย่างนี้ได้
ดวงตาของบุริศร์เย็นเยียบลงเล็กน้อย
“ตุลยาลูกสาวบุญธรรมที่อยู่ข้างกายคุณนายทวีทรัพย์ธาดาคนนั้น น่าสงสัยที่สุด เธอเป็นคนแรกที่สามารถสัมผัสคุณนายได้ นอกจากนั้นเธอยังมีความสัมพันธ์กับตังเม เป็นไปได้ว่าเธอเป็นคนที่วางยาหญิงชรา”
“ดังนั้นความหมายของนายก็คือให้ฉันบอกข่าวนี้กับคุณชายธรณีงั้นเหรอ?”
“อืม ตระกูลทวีทรัพย์ธาดากับตระกูลโตเล็กของฉันถึงยังไงก็ไม่ได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน แล้วยิ่งไปกว่านั้น…”
เขาไม่ได้พูดอะไรมากในตอนท้าย แต่ป้องรู้ว่าเขาควรจะคำนึงถึงอารมณ์ของนรมน
“ใช่แล้วล่ะ แล้วนายจะให้ฉันพูดเรื่องนี้กับเมียนายว่ายังไง?”
คำพูดนี้ของป้องทำให้บุริศร์นิ่งอึ้งไปเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แค้นรักสามีตัวร้าย
650 ตอนยังไม่จบเลยค่ะ...
หล่อนบอกพฤกษ์ได้ย่ะนังนรมน โง่ซ้ำซาก...
อ้าว ขอตุลยาให้ช่วย แล้วทีงี้ทำไมไม่กลัวคนแอบมองจะรู้ว่าขอให้คนอื่นช่วย ไม่สงสัยเลยเว้ยว่าอาจจะมีกล้องซ่อนอยู่เพื่อแอบดูตัวเอง แทนที่จะขอมือถือใหม่มาใช้ สรุป ตอนนี้ไม่มีโทรศัพท์ โทรขอความช่วยเหลือไม่ได้...
โอ๊ย มีปัญญาบอกพฤกษ์ให้ไปบอกสามีได้ แต่ไม่ยอมบอกเค้าว่ามีคนส่งข้อความมาและคนๆนั้นน่าจะอยู่ในสถานพักฟื้นนี่แหล่ะ แล้วจะยังไง ตัวเองจะปกป้องลูกๆและแม่สามีได้ไง แต่งเรื่องได้ไม่เมคเซ้นส์เลย แต่เราว่าดูแล้วเหมือนไปก๊อปเรื่องอื่นมาแล้วเปลี่ยนชื่อคนเอา แล้วไอ้เรื่องที่เอามามันคงใช้บอทแปลมาอีกที เพราะนอกจากภาษาแหม่ง ๆ ยังใช้สรรพนามมั่ว เดี๋ยวเธอเดี๋ยวเขา เดี๋ยวเรียกลูกว่าคุณเดี๋ยวเรียกหนู เดี๋ยวเรียกยายเดี่ยวเรียกย่า ฯลฯ ถ้าคนเขียนหรือแปล มันไม่น่าจะผิดตรงจุดนี้...
นี่กอีกจุดที่ไม่สมจริง นรมนควรจะรีบบอกบุริษร์ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่โอ้เอ้ ทำนั่นทำนี่ตั้งนาน เพราะก็ต้องเข้าใจสิว่าพ่อก็ทุกข์ใจเรื่องลูกหาย...
รู้ว่ามันฆ่าสามีและวางยาลูกคนเล็ก แต่ก็ทำเฉย เก็บมันไว้ใกล้ชิดกับลูกอีกคน ปล่อยให้มันสร้างฐานอำนาจมากขึ้นๆ แถมไม่แอบบอกลูกด้วยว่าต้องระวังอีนี่ อ่านแล้วงงตรรกะ...
น่าแบ่งคนเป็นสองกลุ่มตั้งแต่ต้น ตัวเองกับไมค์พาคนบุกบ้าน ค้นหาตัวนรมน อีกกลุ่มให้คนสนิทไมค์ซึ่งเป็นเจ้าถิ่นพาไปรับตัวแม่กับลูกออกจากรพ. ไม่งั้นอย่างเลวสุดคือเอาลูกและแม่ออกจากรพ. ได้แล้ว ให้ไมค์พาไปค้นบ้าน ช่วยนรมนออกมาด้วย ลองคิดตามความเป็นจริง พอรเมศรู้ว่าพาคนออกจากรพ.แล้ว มันก็ต้องเอะใจแล้วว่าต้องรีบเปลี่ยนที่ซ่อนนรมน รเมศมันก็ไม่น่าโง่นิ เป็นถึงเจ้าพ่อแถบนั้นได้...
แล้วแทนที่จะบอกลูกน้องว่ารเมศไว้ใจไม่ได้ ขังนรมนไว้และจะวางยากมล ก็ไม่บอกอีก แถมไม่เรียกตำรวจ ไม่ขอกำลังเสริม ทั้งๆที่รู้ว่าเลขากำลังจะโทรสั่งคนที่รพ. คือ ไม่คิดเหรอว่าอาจจะหนีออกจากรพ.ไม่ทัน...
กรูจะบ้า แอบเข้ามาคนเดียวอีกแล้ว ไหนว่ารวยมากมีอำนาจมาก ทำไมอนาถาจัง...
ป้าโอก็ใบ้ไว้ชัดมากนะ พระเอกฉลาดก็น่าจะสงสัยว่านางเป็นแม่แท้ ๆ หรือเปล่า พอฟังแม่พูดแล้ว อาจจะว่านางโอวางยาแม่บุริศร์ พอคลอดเด็กผู้หญิงมาก็แอบเปลี่ยนกับแฝดของตัวเอง เพราะงี้ถึงได้รักพระเอกกับน้องมากๆ แต่ก็งงว่าทำไมวางยากิจจา และทำร้ายกานต์ นั่นหลานแท้ๆนี่หว่า...