เหล่าไท่จวินเห็นซือเจ๋อเยว่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร จึงเข้าใจนางผิด เพราะในสายตาของเหล่าไท่จวิน นางก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุน้อยที่อายุยังไม่ครบยี่สิบ ยังไม่เข้าใจโลกดี
นางจึงอธิบายต่อว่า “ข้ามิได้มีเจตนารังเกียจองค์หญิงแต่อย่างใด”
“องค์หญิงมาจากในวัง ข้าไม่รู้ว่าองค์หญิงรับทราบเรื่องของจวนเยียนอ๋องมากน้อยเพียงใด”
“ข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วกัน ท่านอ๋องพ่ายศึก ฝ่าบาทกริ้วหนัก จวนเยียนอ๋องไม่มีทางรอดจากภัยนี้”
“องค์หญิงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่แรก หากอยู่ในจวนเยียนอ๋องต่อไป เกรงว่าจะมีภัยติดตามมา ทางที่ดีควรรีบจากไปเสียก่อน เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิงเอง”
ซือเจ๋อเยว่สบสายตากับเหล่าไท่จวินที่เต็มไปด้วยความเมตตาและอ่อนโยน ทำให้ขอบตาร้อนผ่าว
การกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ทำให้นางได้เห็นทั้งความมืดมิดและความอบอุ่นของผู้คนอย่างชัดเจน
เสด็จลุงของให้นางแต่งงานกับคนตาย ขณะที่ผู้เป็นมารดาอย่างอวิ๋นไท่เฟยก็เพิกเฉยต่อชะตากรรมนี้
บรรดาข้าราชบริพารในวังหลวงต่างก็รังเกียจนาง ไม่มีความเคารพต่อนางแม้แต่น้อย
เดิมทีนางคิดมาตลอดว่าจวนเยียนอ๋องที่กำลังมีเรื่องร้ายมากมาย นางแต่งเข้ามาเช่นนี้คงต้องถูกตำหนิและเกลียดชังไม่มากก็น้อย ไม่คาดคิดว่าจะได้รับความเมตตาและความกรุณาอย่างมาก
ซือเจ๋อเยว่ไม่ได้รับหนังสือหย่าจากเหล่าไท่จวินในทันที แต่กลับขยับตัวโขกศีรษะคำนับเหล่าไท่จวิน
พระชายาผู้เฒ่าพยายามจะประคองนางขึ้น แต่นางกล่าวเบา ๆ ว่า “ขอบพระคุณเหล่าไท่จวิน”
เหล่าไท่จวินเข้าใจเจตนาของนาง จึงยอมรับคำนับ หลังจากนางลุกขึ้นแล้ว เหล่าไท่จวินจึงยื่นหนังสือหย่าให้นาง นางรับไว้ด้วยสองมือก่อนจะคำนับอีกครั้ง
ซือเจ๋อเยว่เก็บหนังสือหย่าไว้ในอกเสื้อแล้วพูดด้วยความตั้งใจว่า “ข้าได้เรียนรู้ศาสตร์ลึกลับบางอย่างจากสำนักเต๋า”
“ข้าอาจจะดูได้ไม่แม่นยำนัก แต่ขอเหล่าไท่จวินลองฟังไว้สักหน่อย”
เหล่าไท่จวินพยักหน้า “องค์หญิงโปรดพูด”
ซือเจ๋อเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “วันนี้เมื่อข้าเดินผ่านลานหน้าเข้ามาในจวน ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายโลหิตและความอาฆาตที่รุนแรงมาก”
“แม้คนที่ตายอย่างกะทันหันและผิดธรรมชาติจะทิ้งกลิ่นอายเช่นนี้ไว้บ้าง แต่ไม่ควรจะหนักหนาถึงเพียงนี้”
“หากรุนแรงถึงระดับนี้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการตายที่มีเงื่อนงำ ข้ากลัวว่าการตายของเยียนอ๋องและบรรดาคุณชายในจวนอาจไม่ได้เป็นเพียงเรื่องที่ปรากฏอย่างผิวเผินเช่นนั้น”
ใบหน้าของเหล่าไท่จวินเปลี่ยนสีทันที “องค์หญิงยังเห็นอะไรอีกบ้างหรือ?”
เมื่อซือเจ๋อเยว่เห็นเหล่าไท่จวินในโถงพิธีแต่งงาน นางก็สังเกตได้ทันทีว่าเหล่าไท่จวินกำลังจะประสบเคราะห์ใหญ่
ไม่เพียงแต่เหล่าไท่จวินเท่านั้น แต่คนทั้งจวนเยียนอ๋องก็มีเป็นเช่นนี้
เพียงแต่เรื่องนี้นางก็ลำบากที่จะเอ่ยปาก นางคงไม่สามารถพูดว่า ‘เหล่าไท่จวิน ข้ามองเห็นว่าทั้งตระกูลของท่านอาจถึงแก่ชีวิต’
นางจึงเลือกใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวังและกล่าวว่า “เรื่องของวิญญาณเทพเจ้าและโชคชะตา อาจจะไม่แน่นอนเสมอไป เพราะยังมีคำกล่าวว่า ‘มนุษย์ชนะฟ้าลิขิต’ อยู่เช่นกัน”
“ทุกคนในจวนเยียนอ๋องเปี่ยมไปด้วยความซื่อสัตย์และกล้าหาญ สวรรค์จะต้องไม่ปล่อยให้ความซื่อสัตย์ของท่านต้องประสมเคราะห์เป็นแน่”
เหล่าไท่จวินเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของซือเจ๋อเยว่ จึงหัวเราะเบา ๆ พร้อมกล่าวว่า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
เมื่อเห็นเหล่าไท่จวินแสดงท่าทางเช่นนี้ ซือเจ๋อเยว่ก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงเสนอว่า “ให้ข้าทำนายชะตาให้จวนเยียนอ๋องสักครั้งดีหรือไม่?”
เหล่าไท่จวินพยักหน้าขอบคุณ
ซือเจ๋อเยว่เด็ดใบไม้หกใบจากต้นไม้ดอกที่อยู่หน้าโถงพิธี แล้วโยนใบไม้ลงบนพื้น นางมองดูลักษณะของใบไม้อย่างละเอียด ดวงตาของนางนิ่งสงบ
มันคือปี้กว้า[1]
นางปิดตาลงชั่วครู่ ความหมายของปี้กว้านี้คือ ‘เปลวไฟเผาผลาญภูเขา หยกและหินล้วนถูกเผาไหม้’
เหล่าไท่จวินเอ่ยถาม “กว้าทำนายดูไม่ค่อยดีงั้นหรือ?”
ซือเจ๋อเยว่ตอบเบา ๆ ว่า “นี่เป็นกว้าใหญ่ ถ้าต้องการรู้รายละเอียดมากขึ้น ต้องเขย่าทำนายอีกครั้ง”
นางเก็บใบไม้ขึ้นมาและโยนลงไปอีกครั้ง คราวนี้ผลออกมาเป็นจิ้นกว้า[2]
เมื่อเห็นกว้านี้ นางหัวเราะเบา ๆ หลังจากได้ปี้กว้าแล้วยังเขย่าได้จิ้นกว้า แสดงให้เห็นว่าถึงแม้จวนเยียนอ๋องจะอยู่ในกองเพลิง แต่ก็ยังคงมีความหวังและโอกาสรอดอยู่
ซือเจ๋อเยว่หันไปบอกกับเหล่าไท่จวิน “ดั่งดวงตะวันโผล่พ้นแผ่นฟ้า สุภาพบุรุษย่อมแสดงคุณธรรมอันสว่างไสว”
“แม้ว่ากว้าของจวนเยียนอ๋องจะดูน่าหวาดหวั่น แต่ตราบใดที่คนในจวนร่วมใจกันเป็นหนึ่ง และหันหน้าเผชิญกับศัตรูโดยพร้อมเพรียง ก็ยังพอมีหนทางรอดอยู่บ้าง”
เมื่อได้ยิน เหล่าไท่จวินก็หัวเราะเบา ๆ พลางคิดว่าเป็นเพียงคำปลอบโยนจากซือเจ๋อเยว่ นางจึงกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แล้วสั่งให้คนมาส่งนางออกไป
เมื่อซือเจ๋อเยว่ออกจากห้อง นางก็เห็นว่าทั่วทั้งจวนเยียนอ๋องถูกปกคลุมด้วยไอสีแดงบาง ๆ ที่สายตาคนทั่วไปมองไม่เห็น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงดวงชะตา พระชายาหมอดูมือฉมัง