เมื่อได้ยินว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับคดีลักพาตัวของธนพัต ในใจของสาริศาก็ร้อนรนมาก “ค่ะ คุณปู่ หนูจะไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ลง สาริศาทำตัวเองให้กระปรี้กระเปร่า จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียงแต่งตัวอย่างรวดเร็วแล้วไปถึงที่ตระกูลกีรติเมธานนท์
ในห้องหนังสือ
“นั่งสิ หนูดูสิ่งนี้ก่อน” ท่านประเสริฐยื่นแฟ้มเอกสารให้กับสาริศา
สาริศารีบล้วงเอกสารจากด้านในออกมา แล้วดูอย่างตั้งใจ เมื่อดูเสร็จ สีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความตกใจและไม่อยากจะชื่อ
ที่แท้ในเอกสารบอกว่า ในสถานที่เกิดเพลิงไหม้ในตอนนั้น นอกจากร่องรอยการจากไปของธนพัตแล้ว ยังพบหลักฐานการจากไปของอีกหนึ่งบุคคล
แต่ว่าตอนนั้นในสถานที่เกิดเหตุเพลิงไหม้มีเพียงธนพัตกับพชิราสองคนเท่านั้น พชิราเสียชีวิตไปแล้ว ธนพัตหนีออกมาได้ แล้วอีกคนหนึ่งเป็นใคร
“คุณปู่คะ นี่คือยังไงกันแน่คะ” เธอไม่เข้าใจจึงมองท่านประเสริฐด้วยความงุนงง “ทำไมถึงมีอีกบุคคลจากไป”
มองดูสาริศาแวบหนึ่ง ท่านประเสริฐจึงกล่าวตอบ “จริง ๆ แล้ว เพลิงไหม้ในตอนนั้นทำให้เกิดการระเบิด ร่างของพชิราถูกเผาไหม้จนแทบจำไม่ได้ จึงเป็นเรื่องยากในการตรวจดีเอ็นเอเปรียบเทียบ มีเพียงเศษผมบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุเท่านั้นที่ยืนยันว่า ศพในตอนนั้นคือพชิรา
“ดังนั้น อาจเป็นไปได้ว่าศพในตอนนั้นไม่ใช่ของพชิรา”
แววตาของท่านประเสริฐดูเฉียบคมทันที ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ อย่างนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนจะต้องไม่ใช่คดีการลักพาตัวธรรมดา จะต้องมีความลับอื่นแน่นอน
ฮึ่ม รอเขาสืบได้ว่าพวกเขากล้าทำร้ายหลานชายของเขา เขาจะต้องให้คนพวกนั้นรับผบกระทำนั้นอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านประเสริฐ สาริศาตะลึงตกใจ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เพราะเธอยังไม่เข้าใจในคำพูดของคุณปู่
หรือว่า……พชิรายังไม่ได้เสียชีวิตจริง ๆ
เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากว่าเธอยังไม่เสียชีวิต ทำไมนานขนาดนี้แล้วถึงยังไม่ปรากฏตัว ทำให้ทุกคนต่างเข้าใจว่าเธอเสียชีวิตในทะเลเพลิงไปแล้ว
แต่ว่า ถ้าหากว่าเธอยังไม่เสียชีวิตล่ะ สาริศานึกขึ้นทันที
ถ้าหากว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นเธอจะกลับมาหาธนพัตไหม
แล้วถ้าถึงเวลานั้น ธนพัตจะทำอย่างไร แล้วตัวเองควรทำอย่างไร
“เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการสืบหาอย่างละเอียด ตอนนี้ทุกอย่างล้วนเป็นการคาดเดาเท่านั้น” มองดูสาริศาที่ใจลอย ท่านประเสริฐก็พอจะเดาออกว่าเธอกำลังครุ่นคิดอะไร “หนูก็อย่าเพิ่งคิดไปเอง ปู่จะให้คนไปสืบต่อ……”
สาริศาที่จมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเอง จึงไม่ได้ยินไม่ชัดเจนว่าท่านประเสริฐนั้นได้พูดอะไร และก็ไม่รู้ว่าตัวเองจากบ้านตระกูลกีรติเมธานนท์ได้อย่างไร
เดินอยู่บนถนน สาริศายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสับสนในหัวใจ อยากจะโทรศัพท์ไปบอกเรื่องนี้กับธนพัต
หยิบโทรศัพท์ออกมา และหาหมายเลขโทรศัพท์ของธนพัตเจอ แต่ว่ากลับไม่ได้โทรออกแต่อย่างใด
นึกถึงเรื่องที่เพิ่งจะทะเลาะกับธนพัตเมื่อวาน สาริศาจึงเกิดความลังเลสองสามครั้ง สุดท้ายก็ปิดโทรศัพท์ทิ้งไป
ผ่านไปสักพัก สาริศาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาอีกครั้ง หาหมายเลขโทรศัพท์หนึ่งแล้วโทรออกไป นอกจากเขาแล้ว สาริศายังนึกถึงอีกคนที่สามารถปรึกษาเรื่องนี้ได้
“สาริศา มีเรื่องอะไรเหรอ” เมื่อรับสายโทรศัพท์ของสาริศา ชัชวาลก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ตอนนี้คุณอยู่ไหน ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”
“ผมอยู่ที่บริษัท มีเรื่องอะไรเหรอ สำคัญมากไหม” เมื่อได้ยินน้ำเสียงของสาริศาที่จริงจังและขึงขัง ชัชวาลจึงทำหน้าเคร่งขรึม
“เจอกันแล้วค่อยว่ากัน ฉันจะไปหาคุณตอนนี้”
นั่งอยู่บนโซฟาอยู่สักพัก สาริศาก็ขึ้นไปหากระเป๋าเดินทางใบเล็ก ๆ ที่ชั้นบน แล้วทำการเก็บเสื้อผ้าของตัวเองสองสามชุด จากนั้นก็ลากกระเป๋าเดินทางออกจากคฤหาสน์ไป
มาถึงคอนโดฯเล็ก ๆ ที่คุณแม่อาศัยอยู่ สาริศายืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู กดกริ่งบ้านดังขึ้น คนที่มาเปิดประตูคืนป้าพี่เลี้ยงที่มาช่วยดูแลคุณแม่
“ริศา คุณมาได้ยังไงคะ” คุณป้าเห็นสาริศาถือกระเป๋าเดินทางมาด้วย จึงรู้สึกแปลกใจ “นี่คือ……”
“หนูมาเยี่ยมคุณแม่ค่ะ” พลางพูดสาริศาพลางลากกระเป๋าเดินทางเข้าประตูไป
“เดี๋ยวป้าเอง” ป้าพี่เลี้ยงรีบรับกระเป๋าเดินทางมาจากมือของเธอ สาริศายิ้มให้เธออย่างซาบซึ้งใจ
กวาดมองดูรอบหนึ่ง สาริศาไม่เห็นคุณแม่ในห้องรับแขก ป้าพี่เลี้ยงจึงชี้ไปทางห้องนอน
จึงพยักหน้าเข้าใจทันที สาริศาชำเลืองมองห้องนอนจากประตูแวบหนึ่ง เห็นกันยากำลังพักผ่อนอยู่บนเตียง
“คุณป้าคะ พักนี้ร่างกายของคุณแม่เป็นอย่างไรบ้างคะ” กลัวว่าจะทำให้กันยาตื่น สาริศาจึงถามด้วยน้ำเสียงเบา ๆ
เมื่อได้ยินคำถามของสาริศา ป้าพี่เลี้ยงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
สาริศาเห็นดังนั้นก็เกิดอาการกระวนกระวาย “เกิดอะไรขึ้นคะคุณป้า ร่างกายแม่ของหนูมีปัญหาอะไรเหรอ”
“สองสามวันมานี้คุณแม่ของหนูมักจะเหม่อลอย หลับไม่ค่อยสนิท เมื่อวานนั่งอยู่บนโซฟาจนดึก ๆ ดื่น ๆ ป้าถามเธอว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบ
อีกทั้ง สองสามวันมานี้เธอไม่ค่อยทานอาหารเลย เมื่อเช้านี้ตอนลุกขึ้นมาก็ทานโจ๊กเพียงหนึ่งถ้วยเท่านั้น ป้าเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ฟัง บอกเพียงว่าตัวเองทานไม่ลง นี่ก็เพิ่งจะนอนพักผ่อนไปเมื่อกี้นี้เอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของป้าพี่เลี้ยง สาริศามองไปทางประตูห้องนอนด้วยความเป็นห่วง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวานเย็น กรุ่นใจ
สวย แต่ โง่ดักดาน แล้วไงคุณนางเอก...
ทำไมนางเอกต้องเป็นควายตลอด...