“หึ ไม่ต้องให้เธอพูด อีกแป๊บฉันก็จะได้เห็นผลตรวจด้วยตัวเอง” สุวิทย์ที่อยู่ด้านข้างหึออกมา
ไม่นานพยาบาลก็เรียกพวกเขา และพาสุวิทย์กับสาริศาเข้าห้องตรวจดีเอ็นเอ
หลังจากตรวจเสร็จ สุวิทย์ก็ถาม “นานเท่าไหร่กว่าผลจะออก? ”
“คุณผู้ชาย ผลตรวจดีเอ็นเอต้องรอหลังจากนี้หนึ่งอาทิตย์กว่าจะออกมาค่ะ คุณกลับไปรอก่อนนะคะ หากผลออกมาพวกเราจะรีบแจ้งคุณให้มารับผลตรวจดีเอ็นเอทันทีค่ะ” พยาบาลตอบคำถามสุวิทย์
“ฉันจะดูผลตรวจวันนี้!” สุวิทย์ตะคอกใส่พยาบาล
“คุณผู้ชายคะ ถ้าหากเร่งเอาผลจะต้องเพิ่มเงินนะคะ แต่ว่าเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงค่ะ คุณแน่ใจว่าจะรอที่นี่เหรอคะ? ” ถึงแม้ว่าจะถูกสุวิทย์ตะคอกใส่จนตกใจ แต่พยาบาลก็ยังพูดอย่างสุภาพ
“ไม่ว่าจะใช้เงินเท่าไหร่ ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องได้เห็นผล!”
“ได้ค่ะคุณผู้ชาย เชิญคุณผู้ชายชำระเงินที่ด้านนี้ค่ะ” ไม่พูดอะไรมาก พยาบาลก็นำพาสุวิทย์ไปยังเคาน์เตอร์ชำระเงิน
ไม่นานสุวิทย์ก็กลับมา จากนั้นก็นั่งเรียงแถวอยู่ที่ระเบียงทางเดินของโรงพยาบาลเพื่อรอผล ขณะนั้น สาริศาก็ไปทำแผลที่แขนโดยมีธีภพไปเป็นเพื่อน
“ริศา เธออย่ากังวลมากไป บางทีโศภิตาอาจจะแค่พูดไปเรื่อย” ธีภพพูดปลอบสาริศาเสียงเบา แต่คำพูดของเขากลับไม่ได้ทำให้สาริศาวางใจ ถ้าหากโศภิตาพูดเรื่อยเปื่อยจริงๆ ทำไมกันยาถึงไม่มีท่าทางปฏิเสธเลยสักนิด
มันยากจริงๆที่จะนั่งเฉยๆ สาริศาโทรหาธนพัต ตอนนี้ในใจของเธอทั้งกลัวทั้งลนลาน หวังว่าธนพัตจะรีบมาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่โรงพยาบาล
แต่ว่าถึงจะโทรติดกันหลายสายก็โทรไม่ติด ได้ยินแค่เสียงผู้หญิงในโทรศัพท์พูดเตือนตัวเองว่า “ขอโทษค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...”
นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ธนพัตต้องประชุมกับพชิรา สาริศาจึงวางสายอย่างผิดหวัง
ขณะที่สุวิทย์รอจนหงุดหงิด ในที่สุดผลตรวจดีเอ็นเอก็ออกมา รับผลตรวจดีเอ็นเอมาจากพยาบาลอย่างรีบร้อน พลางมองสิ่งที่แสดงอยู่ในใบผลตรวจ สุวิทย์เขวี้ยงใบผลตรวจใส่ร่างของกันยาอย่างโมโห “เธออธิบายฉันมา นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ”
กันยาถูกสุวิทย์ทำให้ตกใจจนตัวสั่น น้ำตาไหลออกมาหนักกว่าเดิม
สาริศาหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาจากพื้น หลังจากดูเสร็จก็นิ่งไป บนนั้นเขียนอย่างชัดเจน ว่าตนกับสุวิทย์ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
“แม่ นี่มันเรื่องอะไรกันเหนี่ย? แม่บอกความจริงหนูทีได้มั้ย? ” ไม่อยากจะเชื่อผลลัพธ์ สาริศาร้องไห้พลางร้องถามกันยา
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เธอคิดมาตลอดว่าสุวิทย์เป็นพ่อของเธอ ถึงแม้ว่าตั้งแต่เล็กจนโต สำหรับเธอแล้วสุวิทย์ไม่ใช่พ่อที่ดีนัก แม้กระทั่งเกลียดเขามาก แต่อย่างน้อยบทบาทของพ่อไม่เคยขาดหายไปในชีวิตของเธอ
ตอนนี้ผลลัพธ์ออกมาแบบนี้เธอรับไม่ไหวแล้ว ถ้าหากสุวิทย์ไม่ใช่พ่อของเธอ งั้นเธอเป็นลูกของใครกันแน่?
“กันยา เธอพูดมา! เธอจะปิดบังฉันไปถึงเมื่อไหร่กัน!” สุวิทย์ตอนนี้ดูเหมือนจะระเบิดความโมโห
“ฉัน.......ขอโทษ......ฉัน......” พึมพำสองประโยค ในที่สุดกันยาทนรับแรงกดดันไม่ไหว จึงเป็นลมไป
เมื่อฟ้าใกล้มืด ในที่สุดกันยาก็ฟื้นขึ้นมา
เมื่อลืมตาก็เห็นสาริศา น้ำตาของกันยาก็ไหลออกมาอีกครั้ง “ริศา ขอโทษนะ แม่ขอโทษ เป็นแม่ที่ไม่ดีเอง แม่ไม่ควรปิดบังลูกตั้งหลายปี ลูกอย่าโทษแม่ได้มั้ย แม่ขอโทษลูกจริงๆ......”
“แม่ งั้นหนู......” กลั้นความสงสัยในใจไม่อยู่ เมื่อสาริศากำลังอยากจะเอ่ยปากถามเรื่องชาติกำเนิดของตัวเองกับกันยา แต่ก็นึกถึงสิ่งที่คุณหมอเตือนขึ้นมาได้
จึงฝืนอดกลั้นคำถามของตนกลับเข้าไป สาริศาหยิบกระดาษด้านข้างมาเช็ดน้ำตาให้กันยา “แม่ แม่ไม่ต้องร้องแล้ว ไม่เป็นไรนะ ไม่ว่าพ่อของหนูจะเป็นใคร ขอแค่แม่ยังเป็นแม่ของหนูก็พอแล้ว”
เมื่อได้ยินที่สาริศาพูด กันยาก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม “ริศา แม่ขอโทษลูก ริศา ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ แม่......ขอโทษ......”
“เอาล่ะๆ ไม่เป็นไรนะ แม่ ไม่เป็นไร ต้องไม่เป็นไร” เมื่อเห็นกันยาร้องไห้ สาริศาก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล พลางกอดกันยาร้องไห้ด้วยกัน
ร้องไห้อยู่นาน อารมณ์ของสาริศาถึงค่อยๆสงบลง พลางเช็ดน้ำตาให้กันยา พลางพูดปลอบ “แม่ อย่าร้องไห้เลยนะดีมั้ย หมอบอกว่าแม่จะสะเทือนใจไม่ได้”
กันยาตอบรับอย่างอู้อี้ ในที่สุดก็กลั้นน้ำตาไว้ได้ คงจะร้องไห้เหนื่อยแล้ว ไม่นานกันยาจึงผล็อยหลับไป
สาริศาเข้าไปล้างหน้าที่ห้องน้ำของโรงพยาบาล และขอกะละมังล้างหน้าและผ้าสะอาดจากพยาบาล รองน้ำร้อนและนำกลับไปเช็ดหน้าให้กันยา
ทั้งทุกอย่างเสร็จ สาริศาก็กลับไปนั่งด้านหน้าเตียงผู้ป่วย และเฝ้ากันยาต่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวานเย็น กรุ่นใจ
สวย แต่ โง่ดักดาน แล้วไงคุณนางเอก...
ทำไมนางเอกต้องเป็นควายตลอด...