หลังจากที่ท่านปู่หยางไห่ร้องถามด้วยเสียงอันดังทำเอาเด็ก ๆ ถึงกับตกอกตกใจ จะไม่ให้หยางไห่ตกใจได้อย่างไร ในเมื่อคำว่าเห็ดเยื่อไผ่นี้ไม่ได้ยินมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินเรื่องเห็ดเยื่อไผ่นี้เวลาก็ผ่านมานับสามสิบกว่าปี ว่ากันว่าเห็ดเยื่อไผ่เป็นของดีมีราคาแพง เพราะสามารถนำไปทำยาได้ ทั้งยังมีสรรพคุณบำรุงร่างกายด้วย ตั้งแต่ย้ายมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านลี่จวงแห่งนี้ ก็ไม่เคยพบเห็นเยื่อไผ่เลย นี่ไม่ใช่ว่าหลาน ๆ ของเขาไปพบเข้ากับขุมสมบัติมาหรือยังไง
“พวกเจ้าว่าอะไรนะ เห็ดเยื่อไผ่หรือ ไหนเอามาให้ปู่ดูใช่เห็ดเยื่อไผ่จริง ๆ ใช่หรือไม่”
“ท่านปู่ทำไมต้องเสียงดังด้วยขอรับ พวกข้าตกใจแทบแย่” หยางอิน
“นั่นสิ ท่านปู่ทำอย่างกับไม่เคยเจอเห็ดอย่างนั้นแหละ” หยางชิง
“ใช่ข้าเห็นด้วย ท่านปู่ร้องเสียงดังเล่นเอาข้าตกใจแทบตาย ก็แค่เห็ดไม่ใช่หรือไง วันหลังคงต้องให้ท่านพี่พาท่านปู่เข้าป่าไปเก็บเห็ดเสียบ้าง จะได้รู้ว่ายังมีเห็ดอีกมากมายเกิดในป่า อย่างเช่นเห็ดหอม เห็ดหูหนูดำ เห็ดแตร เห็ด..” ยังไม่ทันที่หยางเสียนจะทันได้พูดจบหยางไห่ก็ร้องขึ้นหนึ่งเสียง
“ยังมีเห็ดหอมอีกเรอะ เห็ดหูหนูดำด้วย”
“ก็มีน่ะสิขอรับ ท่านพี่เก็บกลับมาที่บ้านของข้า ท่านแม่ยังตากเอาไว้ตั้งเยอะ” หยางเสียน
“ที่บ้านเราก็มีขอรับท่านปู่ อาเสี้ยวแบ่งให้ข้าเอากลับไปให้ท่านแม่ตากแห้งเอาไว้กินตอนหน้าหนาว”
“เพ้ย เจ้าเด็กตัวเหม็นพวกนี้ กิน กิน จะกินเข้าไปได้อย่างไร ของดีมีราคาทั้งนั้น รีบ ๆ เอามาให้ปู่ดู ใช่เห็ดเยื่อไผ่แน่หรือไม่” หยางไห่รู้สึกว่าตัวเองหน้ามืดตาลายขึ้นมาทันที
“ท่านพ่อ ใจเย็น ๆ ขอรับ” หยางเทียน
“นั่นสิท่านพ่อท่านตื่นเต้นมากไปแล้ว” หยางเทา
“นี่ขอรับท่านปู่ เห็ดเยื่อไผ่” หยางเสี้ยวยื่นตะกร้าเห็ดให้กับหยางไห่ดู พอได้เห็นเห็ดเยื่อไผ่สีขาวอยู่เต็มตะกร้าหยางไห่อดยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจไม่ได้ ไหนจะมีส่วนหมวกของเห็ดที่แยกเอาไว้ต่างหากอีก นี่มันเงินทั้งนั้น
“ท่านพ่อ ตกลงว่าใช่หรือไม่” หยางเทา
“นั่นสิท่านปู่ท่านรีบพูดมาเถอะ ข้าหิวข้าวแล้วขอรับ” หยางอิน
“ไอ้เด็กตัวเหม็นพวกนี้นี่กล้าพูดจาแบบนี้กับปู่เรอะ คันก้นแล้วใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อ ตกลงว่าใช่หรือไม่ขอรับ” หยางเทียนรีบขัดขึ้นก่อนที่หยางไห่จะไล่ตีก้นเด็ก ๆ ขึ้นมาจริง ๆ
“อื้ม ใช่แล้ว มันคือเห็ดเยื่อไผ่ สมัยพ่อเป็นเด็กได้กินอยู่เพียงครั้งเดียว ตั้งแต่ย้ายมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านแห่งนี้พ่อก็ไม่เคยพบเห็นเห็ดเยื่อไผ่อีกเลย อาเสี้ยวช่างโชคดีจริง ๆ”
“เสี่ยวไป๋ต่างหากที่เจอ แล้วเรียกท่านพี่ไปดู เสี่ยวไป๋ของข้าเก่งที่สุด” หยางเสียน
“ทำไมท่านปู่ถึงได้ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้ล่ะขอรับ ทางเข้าออกหมู่บ้านก็มีทางเดียว”
“ก็เพราะสงครามระหว่างแคว้นน่ะสิ ไหนจะสงครามภายในอีก ปู่ทวดของหลานก็เลยพาพวกเราเดินทางรอนแรมมาถึงที่นี่ นอกจากปู่แล้วยังมีพี่ชายของปู่อยู่อีกคน ตอนนี้อยู่อีกเมืองหนึ่งน่ะ ตอนนั้นพี่ชายของปู่แต่งเข้าบ้านภรรยา ทำเอาท่านย่าทวดของเจ้าโมโหจนล้มป่วยไปเลยทีเดียว แต่พี่ใหญ่ก็ยังยืนยันว่าจะแต่งเข้าบ้านภรรยา ท่านพ่อเองก็ไม่อยากจะบังคับ เห็นว่าครอบครัวพี่สะใภ้ไม่มีใครแล้วนอกจากตัวนางกับแม่ที่แก่แล้วและน้องชายที่อายุยังน้อยอยู่”
“แล้วท่านพ่อไม่ได้เจอท่านลุงเลยหรือขอรับ พวกเราไม่เห็นรู้เลยว่ามีญาติอยู่ที่ต่างเมือง”
“เจอกันครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เจ้าใหญ่เกิด แต่ว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าจะยังสบายดีหรือเปล่าน่ะสิ บ้านเราก็ยากจน พ่อเองก็ไม่มีเงินที่จะเดินทางไปเมืองทางเหนือหรอกนะ เดินทางแต่ละครั้งใช้เงินไม่น้อยเลยในการเดินทาง”
“ท่านปู่ เอาไว้พวกเรามีเงินแล้วค่อยไปเยี่ยมบ้านปู่ใหญ่ยังได้ ไม่ต้องทุกข์ใจไปขอรับ ตอนนี้กลับบ้านกันเถอะ น้อง ๆ คงหิวแล้วจริง ๆ ท่านดูหน้าอาเสียนกับอาอินสิ” หยางเชวียน
“ไป ไป กลับ กลับ พวกเจ้าเดินนำหน้าไปก่อน ปู่กับพ่อของพวกเจ้ายังต้องขนไม้ไผ่ไปด้วย”
“ขอรับท่านปู่”
หยางเสี้ยวเดินนำหน้าพี่ชายน้องชายกลับบ้าน โดยมีพวกท่านปู่เดินตามหลัง แต่ละคนแบกไม้ไผ่เอาไว้คนละห้าท่อน ระหว่างทางก็พบกับชาวบ้านที่กลับจากขุดผักป่าหลายคน หนึ่งในนั้นมีสหายของหยางเทียนอย่างลู่คง
“อาเทียนพวกเจ้าตัดไม้ไผ่ไปทำอะไรรึ” ลู่คงถามออกมาด้วยความสงสัย
“อ่อ ข้าจะซ่อมบ้านน่ะ ถ้าหากไม่ซ่อมให้ดีกลัวว่าหากฝนตกลงมาแล้วจะไม่มีที่นอนกัน หลังคาก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ เลยคิดว่าจะตัดไม้บนเขามาเปลี่ยนคานน่ะ แล้วนี่เจ้าไปขุดผักป่ามาหรือ”
“ใช่แล้วล่ะ ชาวบ้านยากจนอย่างพวกเราก็อาศัยของป่าเพื่อประทังชีวิตทั้งนั้น พรุ่งนี้ข้ากับพี่ใหญ่จะมาช่วยนะ เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าล่ะ หากว่าข้าไม่บังเอิญพบเจ้าวันนี้ เจ้าคงจะไม่บอกพวกข้างั้นสิ”
“ข้าเกรงใจน่ะ”
“จะเกรงใจไปทำไมคนกันเองแท้ ๆ หรือว่าเจ้าไม่เห็นข้าเป็นสหายเล่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หยางเสี้ยว หนูน้อยหัวใจแกร่ง