องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน นิยาย บท 75

“เยี่ยมมาก”

หลี่เจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มเป็นคนแรกและใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข

จากนั้นเหล่าขุนนางต่างก็ชื่นชมสรรเสริญ

แม้ว่ากลอนบทนี้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมนัก จินตภาพค่อนข้างแย่ แต่มีการแบ่งเสียงวรรณยุกต์และเสียงสัมผัส ตรงตามกฎเกณ์ หากเทียบกับขององค์ชายเจ็ดแล้วย่อมยอดเยี่ยมกว่าเป็นธรรมดา

โดยเฉพาะสองวรรคแรก ถือว่ายอดเยี่ยมมาก

หลี่จุ่นเองก็แอบพยักหน้า

คิดไม่ถึงว่าน้องแปดคนนี้จะมีพรสวรรค์ด้านบนกลอนเล็กน้อย

“เยี่ยมมากเซียงเอ๋อร์ แต่อย่าได้ยโสถือตัวว่ามีดี เจ้ายังต้องมุ่งมานะกว่านี้” หลี่เจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ขอพระทัยเพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวังแน่นอนเพคะ” ใบหน้าสวยของหลี่เซียงจู๋พลันเต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที ยิ้มแย้มแจ่มใสจนหาอะไรเทียบมิได้ แล้วนั่งลงอย่างพึงพอใจ

จากนั้นหลี่จงก็ลุกขึ้นยืน

ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะแต่งกลอน แต่หลี่จงกลับมองหลี่จุ่นด้วยสีหน้าเย้ยหยันและพลันกล่าวเสียงดังว่า

“เสด็จพ่อพะย่ะค่ะ หากจะว่าในบรรดาองค์หญิงองค์ชาย ใครที่มีพรสวรรค์ด้านบทกลอนมากที่สุด นั่นย่อมต้องเป็นน้องหกอย่างแน่นอน ข้าเห็นว่าการเขียนเพลงแต่งกลอนในครั้งนี้ควรมอบให้น้องหกได้แสดงฝีมือ ข้าและพี่น้องคนอื่นๆ จะชื่นชมอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ก็พอแล้วพะย่ะค่ะ”

“เสด็จพ่อพะย่ะค่ะ หม่อมฉันก็เห็นด้วย” หลี่เฉียนก็กล่าวเสียงดัง “น้องหกมีพรสวรรค์ด้านกลอนกวีนิรันดร์ ไม่ควรปิดกั้นพะย่ะค่ะ”

ตามด้วยองค์รัชทายาทก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “หม่อมฉันได้ยินมานานแล้วว่าคราวนั้นน้องหกแต่งกลอน ‘หิมะพิทักษ์เมือง’ ที่หอเหวินชวีและได้รับการยกย่องจากท่านอาจารย์ว่าเป็นสุดยอดกวีพันปี วันนี้หม่อมฉันก็อยากเห็นพรสวรรค์ด้านกลอนกวีของน้องหกอย่างหนำใจ หากน้องหกมีพรสวรรค์ด้านกลอนกวีจริงๆ นั่นถือเป็นเกียรติของราชวงศ์อู่ของเรา เสด็จพ่อโปรดประทานโอกาสให้น้องหกได้แสดงความสามารถอย่างหนำใจด้วยพะย่ะค่ะ”

ทั้งสามคนรวมหัวกันขออนุญาตกลางงาน

ดูเหมือนเป็นการขออนุญาต แต่ความจริงแล้วคือการกลั่นแกล้ง

ทันใดนั้นทั่วทั้งงานเลี้ยงก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

กลิ่นเขม่าควันดินปืนลอยฟุ้งในอากาศ แม้แต่ขุนนางชั้นผู้น้อยที่มีตาหามีแววไม่ยังสามารถได้กลิ่น

ให้องค์ชายหกแต่งกลอนหรือ

ล้อเล่นอันใดกัน

ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าองค์ชายหกเป็นคนไม่เอาถ่านที่ไม่ร่ำเรียนเขียนอ่าน

ยอดกวีหรือ

เกรงว่าจะเป็นยอดไร้ประโยชน์เสียมากกว่า

กลอน ‘หิมะพิทักษ์เมือง’ บทนั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงและแม้แต่ใต้หล้า แต่มีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่าบทกลอนนี้เขียนโดยหลี่จุ่น

เหล่าขุนนางในราชสำนักยิ่งไม่เชื่อ

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมองออกทันทีว่าพวกองค์รัชทายาทต้องการทำให้หลี่จุ่นเสียหน้า

ในขณะนั้นหลี่เหวินจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย

และหลี่เจิ้งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเช่นกัน

ส่วนจ้าวเซียงหนิงสองพี่น้องในคณะทูตของแคว้นหนานก็มองเห็นหลี่จุ่นจากการมองตามสายตาของทุกคน

เมื่อคืนวานพรสวรรค์ด้านกลอนกวีของหลี่จุ่นได้เปิดหูเปิดตาให้กับนางทั้งสองจนพวกนางรู้สึกยกย่องและประทับอย่างสุดซึ้ง

แต่หากวันนี้หลี่จุ่นไม่สามารถแสดงพรสวรรค์ด้านกลอนกวีของเขาได้ ชื่อเสียงอันอื้อฉาวที่ว่าเขาไม่ได้เป็นคนเขียนกลอน ‘หิมะพิทักษ์เมือง’ บทนั้น เห็นทีจะเป็นความจริง

เมื่อถึงเวลานั้นชื่อเสียงอันอื้อฉาวขององค์ชายผู้ไม่เอาถ่านท่านนี้ก็จะโด่งดังไปไกลและอาจจะเป็นที่รู้จักวงกว้างมากขึ้น

หลี่จุ่นกลับไม่รีบร้อนลุกขึ้นยืน แต่ดื่มเหล้าอย่างช้าๆ และความเย็นชาก็ค่อยๆ ปกคลุมในแววตาของเขา

ไม่เลว

เริ่มแก้แค้นตนแล้วสิ

ช่างเป็นสามเสด็จพี่ที่ดีจริงๆ

บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด หลี่เจิ้งมองพวกองค์รัชทายาทแวบหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ หันไปมองหลี่จุ่น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “จุ่นเอ๋อร์ เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่”

หลี่จุ่นลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่มีอันใดจะพูดพะย่ะค่ะ”

หลี่เจิ้งพยักหน้า แววตาลึกซึ่งเล็กน้อยพลางกล่าวอย่างเฉยเมยว่า

“หากเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าเองก็อยากดูว่าจุ่นเอ๋อร์เปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่ กลอน ‘หิมะพิทักษ์เมือง’บทนั้น ข้าเองก็อยากรู้ว่าแท้จริงแล้วจุ่นเอ๋อร์แต่งด้วยตนเองหรือไม่”

หลี่จุ่นแสยะยิ้ม แล้วดื่มเหล้าในจอกจนหมดภายในอึกเดียว เขาโค้งคำนับและกล่าวด้วยรอยยิ้ม สีหน้าเคลิ้มเมาเล็กน้อย

“ในเมื่อเสด็จพ่อและเสด็จพี่อยากเห็นความสามารถของหม่อมฉัน งั้นหม่อมฉัน... ต้องขายขี้หน้าแล้ว”

จากนั้นหลี่จุ่นก็สะบัดแขนเสื้อ ผมยาวปลิวไสว แล้วเริ่มแต่งกลอน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน