องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 1360

อาณาจักรฉิน

ฉินเหยียนพาหลิวอวี่หลินกลับไปที่พระราชวังและคุยกันต่อ

ในระหว่างกระบวนการนี้ฉินเหยียนได้รู้จักหลิวอวี่หลินมากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มีความสามารถที่น่าทึ่ง

พวกเขาทั้งสองคุยกันจนลืมเวลา เวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงช่วงฟ้าสางแล้ว

“ถึงเวลาที่จะต้องไปท้องพระโรงแล้ว คู่ต่อสู้ของเจ้าในวันนี้คือขุนนางฝั่งบู๊และฝั่งบุ๋น เจ้ามั่นใจหรือไม่?”

หลิวอวี่หลินที่มีสีหน้าสงบ ยิ้มอ่อนออกมา

“ฝ่าบาทอย่าทรงได้กังวลพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพร้อมแล้ว”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น ฉินเหยียนพลันรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยและเตือนออกไปว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะวางใจ แต่เจ้าอย่ากดดันตัวเองมากเกินไปล่ะ ไม่ว่าอย่างไรข้าจะคอยดูแลให้เจ้าปลอดภัยเอง”

สิ่งที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดคือตอนนี้หลิวอวี่หลินยังเด็ก คงไม่มีทางปรับตัวให้เข้ากับคนในท้องพระโรงในราชสำนักมากนัก

และวันนี้อีกฝ่ายเป็นถึงขุนนางบู๊และบุ๋นในราชสำนัก

พูดได้อีกอย่างว่าเขาจะถูกรายล้อมไปด้วยศัตรูที่มีอำนาจมากกว่า

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเปลี่ยนความคิดของคนเหล่านี้

แม้หลิวอวี่หลินจะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่ฉินเหยียนยังคงเตือนเขาด้วย

หลิวอวี่หลินโค้งคำนับเล็กน้อยและขอบคุณอย่างจริงใจ

“ในเมื่อเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว เช่นนั้นตามข้าไปยังท้องพระโรงเถิด”

ฉินเหยียนยืนขึ้น ยืดเส้นยืดสายจากนั้นเดินนำออกไป

หลิวอวี่หลินลุกขึ้นและติดตามอ๋องเหยียนไปทันที ทั้งสองเดินออกไปที่พระราชวังด้วยกัน

เมื่อทั้งสองเดินมาถึงตำหนักจินหลวน การหารือในท้องพระโรงก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

เห็นว่าบรรดาขุนนางมารวมตัวกันที่นี่ต่างพากันซุบซิบนินทา

“เฮ้อ เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ตกลงให้ส่งกองกำลังไปสู้กับพวกชาวตาดเสียที?”

“หากเราไม่สามารถล้างความอับอายของอาณาจักรฉินออกไปให้เร็วที่สุด ในอนาคตพวกเราทุกคนคงถูกแทงข้างหลังเป็นแน่!”

ทุกคนต่างพูดถึงเรื่องการส่งกองกำลังไปโจมตีพวกชาวตาด

ในขณะนี้มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ฮ่องเต้เสด็จมา!”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ต่างกันคุกเข่าลงและทำความเคารพ “เข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”

ในท้องพระโรง ฉินเหยียนเป็นคนเดียวที่ประสานมือทำความเคารพ เขาเป็นคนเดียวในอาณาจักรฉินที่สามารถทำเช่นนี้ได้

ไม่เพียงเท่านั้น ตำแหน่งของเขายังยืนอยู่ด้านหน้าบรรดาขุนนาง ตรงกลางบันได ที่นั่งด้านหลังเป็นที่สงวนไว้ให้เขา

ในเวลานี้ฉินชงโบกมือแล้วพูดว่า

“ลุกขึ้นมาได้”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

หลังจากที่บรรดาขุนนางลุกขึ้นยืนแล้ว ฉินชงก็กระแอมเบาๆ และเอ่ยปากพูดออกมาว่า

“พวกเจ้ามีเรื่องจะรายงานใช่ไหม”

“ฝ่าบาท!”

ทันทีที่หลิวอวี่หลินพูดออกมาเช่นนี้ ทั้งตำหนักจินหลวนพลันตกอยู่ในความเงียบทันที

ขุนนางต่างหันหน้ามาและมองไปที่เด็กหนุ่มคนนี้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาด้วยความประหลาดใจ

เด็กหนุ่มที่ปากยังไม่สิ้นหลินน้ำนมกล้าต่อต้านขุนนางและแสดงความคิดเห็นที่ทำให้ชวนอึ้ง

“เจ้าเป็นใครกัน?”

เสนาบดีกรมกลาโหมขมวดคิ้วและตะโกนถาม

“กราบทูลรายงานต่อท่านเสนาบดีกรม ข้าเป็นหัวหน้าฝ่ายโฆษกกรมพิธีการพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งยังเป็นเสนาบดีช่วยฝ่ายขวาของกรมพิธีการ แซ่หลิว ชื่ออวี่หลินขอรับ”

หลิวอวี่หลินประสานมือ พูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโนบนใบหน้า

ทันทีที่ประโยคนี้ดังขึ้นมา ขุนนางทุกคนต่างมีสีหน้าสับสน หลิวอวี่หลิน? ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย

เด็กอวดดีคนนี้เป็นใครมาจากที่ใดกันแน่?

ฉินชงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร กระแอมสองสามครั้งแล้วถามว่า

“หลังจากนี้ใต้เท้าหลิวจะรับผิดชอบเรื่องท่าทีและการแสดงออกของอาณาจักรฉินที่มีต่ออาณาจักรอื่นๆ รวมไปถึงรับผิดชอบในการเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของอาณาจักรฉิน เขาเพิ่งมาถึงเมืองหลวงเมื่อวานนี้ เป็นเรื่องปกติที่พวกท่านจะไม่รู้จักเขาใช่หรือไม่?”

“ส่วนด้านอื่นๆ หลังจากนี้พวกเจ้าค่อยๆ เรียนรู้กันไป”

ขุนนางทุกคนอึ้งไป ไม่เพียงแต่สับสนในตัวตนของเด็กคนนี้เท่านั้น แต่สับสนในเรื่องตำแหน่งและหน้าที่ความรับผิดชอบของอีกฝ่ายด้วย

เมื่อพิจารณาถึงตำแหน่งเสนาบดีช่วยฝั่งขวาของกรมพิธีการแล้ว ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เขากลับกล้าลุกขึ้นมาพูดจาต่อต้านขุนนางในที่สาธารณะเช่นนี้ อีกทั้งยังพูดจาเหลวไหล ทำให้ภาพลักษณ์ของหลิวอวี่หลินในสายตาพวกเขาแย่ลงในทันที

เสนาบดีกรมกลาโหมไม่พอใจขึ้นมา เขาลุกขึ้นและขมวดคิ้วพูดออกมาว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอถามใต้เท้าหลิวสักหน่อยเสียแล้วกัน!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์