องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 289

ฮ่องเต้ฉินหยิบฎีกาขึ้นมาอ่านทีละฉบับ บนฎีกาไม่เพียงแต่บันทึกทุกการกระทำของฉินเหยียนในเมืองใหม่เท่านั้น แม้แต่คำพูดอันฮึกเหิมของฉินเหยียนยังคัดลอกโดยไม่พลาดแม้แต่คำเดียว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฮ่องเต้ฉินเห็นประโยคที่ว่า "ชีวิตคนตั้งแต่โบราณมีผู้ใดไม่ตาย รักษาความภักดีอันกล้าหาญนี้ และส่องแสงตลอดไปในบันทึกประวัติศาสตร์" จู่ๆหัวใจของเขาก็สั่นสะท้าน

และเมื่อเห็นประโยคที่ว่า "แม้ร่างกายแหลกเหลวก็ไม่กลัว ยอมทิ้งความบริสุทธิ์ไว้ในโลกา" ฮ่องเต้ฉินรู้สึกว่าจู่ๆหัวของเขาก็เริ่มร้อนขึ้น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่จะตัดสินหัวใจของวิญญูชนด้วยจิตใจของคนต่ำช้า

ในใจของฮ่องเต้ฉินมีหลากหลายความรู้สึกผสมปนเป บุตรไม่รู้จักบิดา บิดาไม่รู้จักบุตร จึงนำไปสู่สถานการณ์ที่มิอาจย้อนกลับไปได้เช่นเวลานี้

เขามองไปที่ผมที่ถูกตัดออกมาอยู่เนิ่นนาน และกล่าวด้วยความเสียใจว่า

"เจ้าสิบสี่ตัดผมแทนศีรษะจริงๆนะหรือ?"

แม่ทัพพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม และยืนยันว่า

"กราบทูลฝ่าบาท บรรดาขุนนางต่างประจักษ์ด้วยตาของตนเองว่าองค์ชายสิบสี่ทรงตัดพระเกศาในที่สาธารณะเพื่อขออภัย ต่อใต้หล้า และเพื่อขอประทานอภัยต่อฝ่าบาทพะยะค่ะ"

ฮ่องเต้ยืนชะงักอยู่กับที่พลางจ้องมองผมที่ถูกตัดออกมาในกล่องผ้า เมื่อครู่เขายังคงตื่นตระหนก เขายังหวาดกลัวว่าเจ้าสิบสี่จะก่อกบฏ กลัวว่าอาณาจักรของเขาจะเปลี่ยนมือ

ทว่าเวลานี้ในใจของเขามีเพียงความเสียใจ สถานการณ์ในเวลานี้หากมิใช่เพราะเขาฟังคำใส่ร้ายเขาจะบีบบังคับจนเจ้าสิบสี่ตัดผมเพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดีได้อย่างไร และจะทำลายความสัมพันธ์ของพ่อลูกระหว่างเขาในฐานะเสด็จพ่อและโอรสไปโดยสิ้นเชิงได้อย่างไร!

ทว่าเวลานี้เจ้าสิบสี่ถูกเขาลดขั้นลงเป็นสามัญชนด้วยราชโองการที่เขียนด้วยลายมือของเขาเองและสั่งให้เขากลับมายังเมืองหลวง ตราบใดที่เขาขัดขืนก็จะถูกตัดศีรษะทันที เกรงว่าวาสนาระหว่างบิดาและบุตรของเขาจะหยุดเพียงเท่านี้แล้ว

เนิ่นนานหลังจากนั้นฮ่องเต้ฉินจึงค่อยๆเอ่ยปากถามว่า

"ลูกสิบสี่ของข้าเวลานี้อยู่ที่ใดแล้ว?"

ผู้ดูแลกิจการในพระราชวังคำนวณเวลาและตอบกลับว่า

"กราบทูลฝ่าบาท ตามกำหนดการองค์ชายสิบสี่ควรจะมาถึงเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้วพะยะค่ะ"

เมื่อฮ่องเต้ฉินนึกถึงฉากที่น่ากระอักกระอ่วนอย่างที่สุดเมื่อบิดาและบุตรพบกันอีกครั้ง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าและนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน

เมื่อเห็นว่าท่าทีของฮ่องเต้ฉินที่มีต่อฉินเหยียนอ่อนลง ฮองเฮาฉินซวงหลานก็เริ่มเป่าหูอีกครั้งทันที

"ฝ่าบาทเพคะ โปรดอย่าทรงเชื่อข่าวโคมลอยของฉิงเหยียนนะเพคะ ท่านทรงลืมไปแล้วหรือว่าเขาเก็บเรื่องราวไว้ในใจและอดกลั้นได้เก่งที่สุด!"

"ก่อนหน้าเขาเก็บงำความสามารถและปิดบังเป็นความลับมากกว่ายี่สิบปีจนท่านเหมือนอยู่ในความมืด เมื่อเขามีอำนาจก็อาศัยว่าตนเองได้รับการโปรดปรานและความไว้วางใจ และกลายเป็นมีท่าทีหยิ่งยโสโอหัง "

"เวลานี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะปราบปรามเขาได้ ท่านอย่าได้ทรงเชื่อเขาอีกเลยนะเพคะ!"

ขุนนางฝ่ายบู๊ไม่คิดเลยว่าฮองเฮาฉินซวงหลานจะทำให้ฝูงชนสับสนด้วยคำพูดที่ชั่วร้ายเช่นนี้ ดังนั้นจึงประสานมือขึ้นทันทีพลางกล่าวว่า

" ขอฝ่าบาททรงพิจารณาพะยะค่ะ! องค์ชายสิบสี่เป็นผู้ที่มีจิตใจดีและมีคุณธรรม จะเป็นคนที่อกตัญญูและคิดกบฏได้อย่างไรพะยะค่ะ!"

ฮองเฮาฉินซวงหลานเลิกคิ้วขึ้น และกล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า

"เขาเป็นคนทรยศ เจ้ายังจะพูดแทนเขา ข้าว่าเจ้ากำลังสมรู้ร่วมคิดกับฉินเหยียน พวกเจ้าล้วนเป็นพวกเดียวกัน!"

"พอได้แล้ว! หุบปากให้หมด!"

ฮ่องเต้ฉินดุ ฮองเฮาฉินซวงหลานจึงไม่กล้ากล่าวอะไรอีก

เวลานี้ฮ่องเต้ฉินตกอยู่ในความสับสน ทั้งสองคนยังทะเลาะกันจนทำให้เขายิ่งปวดหัวแทบจะระเบิดมากยิ่งขึ้น

หลังจากสงบสติอารมณ์เป็นเวลานาน เขาจึงเอ่ยปากอีกครั้งว่า

"ร่างราชโองการ เมื่อลูกสิบสี่มาถึงเมืองหลวงให้ส่งตรงไปยังจงเหรินฝู่"

ไท่ฟู่รออยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้วและจงใจนำองค์ชายแปดฉินอู่และพวกพ้องคนอื่นๆมาตั้งขบวนที่ประตูเมืองหลวงเพื่อเตรียมที่จะทำให้ฉินเหยียนต้องอับอาย

ไม่นานหลังจากนั้นรถม้าของฉินเหยียนก็เข้ามาในระยะสายตา

ขันทีและองครักษ์ส่วนพระองค์รีบทำความเคารพ

"คารวะไท่ฟู่ขอรับ"

ไท่ฟู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซืออย่างวางท่าพลางถือถ้วยชาและเป่าใบชาอย่างเหยียดหยาม

และมีผู้ใต้บังคับบัญชาแอบอ้างบารมี และกล่าวอย่างหยิ่งผยองว่า

"บังอาจ! ผู้ใดอยู่ในรถม้า? พวกเจ้าเป็นประชาชนเมื่อเห็นไท่ฟู่ยังไม่คุกเข่าคารวะอีก!"

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

ฉินเหยียนคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าไท่ฟู่เจ้าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้จะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะหมิ่นเกียรติเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกจากรถม้าพร้อมกับสตรีทั้งสองแล้วประสานมือทำความเคารพพลางกล่าวว่า

"ข้าน้อยคารวะไท่ฟู่ คารวะองค์ชายแปด และขุนนางท่านอื่นๆ"

ไท่ฟู่พึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาเชิดหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและไม่แม้แต่จะเหลือบมอง

จากนั้นมีขุนนางอีกคนเดินเข้ามาตะโกนอย่างหยิ่งผยองว่า

"ในเมื่อรู้ว่าตนเป็นประชาชนยังไม่คุกเข่าทำความเคารพอีก!"

"คุกเข่า!"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์