องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 372

หออี๋หง แสงไฟสว่างไสว ผู้คนกินดื่ม มีหญิงงามและเสียงดนตรี

วันนี้ผู้อาวุโสทั้งเก้าของตระกูลซ่งมาที่นี่เพื่อเชื้อเชิญอีกสิบตระกูลหลัก เพื่อหารือเกี่ยวกับการร่วมมือและการกบฏ

แขกผู้มีเกียรติมากันมากมายจนเต็มงาน ผู้คนกินดื่ม มีหญิงงามและเสียงดนตรี เหล่าหญิงงามต่างพากันปรนนิบัติท่านทั้งหลายอย่างระมัดระวัง คอยเทเหล้าและยกอาหาร โดยใส่ใจในทุกรายละเอียด

ผู้นำผู้อาวุโสตระกูลซ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ แววตาของเขาเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก

“นับตั้งแต่ฮ่องเต้ฉินขึ้นครองบัลลังก์ ตระกูลซ่งและตระกูลเหล่าสหายทุกท่านเอง หนึ่งร่วงล้วนร่วง หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์ บัดนี้การร่วมมือกันคือสิ่งที่ต้องทำ หากไม่ตอบโต้เพื่อปกป้องตนเอง ต่อไปจะต้องเป็นปัญหาใหญ่ ทุกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?”

เหล่าผู้อาวุโสอีกสิบตระกูลต่างพากันมองหน้ากัน สีหน้าของพวกเขาแย่มาก ไม่กล้าพูดต่อและไม่กล้าให้คำตอบที่แน่ชัด บรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอบอวลเต็มไปหมด

ผู้นำผู้อาวุโสตระกูลซ่งสีหน้าไม่พอใจ เขาพูดอย่างเข้มงวดว่า “พูดอะไรบ้างสิ เป็นใบ้กันหมดแล้วรึ?”

ผู้อาวุโสตระกูลหวังเสนาบดีกรมกลาโหมยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “พูดง่ายแต่ทำยาก ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ ทั้งผู้ชาย เงินและเสบียงต่างก็ถูกส่งไปยังแนวหน้ากันหมด หากจะทำการเปลี่ยนราชวงศ์ในตอนนี้ จะให้ตาเฒ่าอย่างพวกข้าถืออาวุธฝ่าเข้าไปงั้นรึ?”

ผู้อาวุโสตระกูลหลิวเสนาบดีกรมพิธีการพูดว่า “พวกข้าต่างรู้ถึงสถานการณ์วิกฤติ แต่กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการปกป้องตนเองอย่างชาญฉลาด แทนที่จะไปต่อสู้จนตายกันไปข้าง”

คำพูดนี้ได้รับความเห็นด้วยอย่างมาก ฮ่องเต้ฉินไม่ได้กำจัดให้สิ้นซาก แต่เหลือทางรอดให้พวกเขาอยู่ ตราบใดที่แต่ละตระกูลลดหย่อนภาระของชาวเมืองและฟื้นฟูเศรษฐกิจของอาณาจักร

เมื่อสงครามระหว่างอาณาจักรฉินและอาณาจักรจ้าวจบลง และได้รับผลงานมา ก็จะสามารถปกป้องอำนาจของตระกูลไว้ได้ อีกทั้งในวันข้างหน้ายังมีโอกาสหวนกลับมาตั้งตัวเป็นใหญ่อีกครั้ง

แต่ถ้าหากทำการกบฏตอนนี้เลย ก็จะต้องถูกบันทึกความอัปยศไว้ในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน กิจการและชื่อเสียงนับหลายชั่วโคตรของพวกเขาก็จะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง คนส่วนใหญ่ไม่อยากจะไปเสี่ยงในตอนนี้ อย่างไรตระกูลที่มีอายุยืนยาวก็ไม่ได้ยืนหยัดมาได้เพราะการกบฏเพียงอย่างเดียว

และเมื่อพูดดังนั้นแล้วก็ทำเอาผู้นำผู้อาวุโสตระกูลซ่งเดือดดาลอย่างมาก เขาแสดงความไม่พอใจทั้งหมดออกมาทางสีหน้า และตบโต๊ะเสียงดังแล้วยืนขึ้นพูดว่า

“พวกเจ้าคอยดูเถิด ไม่ช้าพวกเจ้าก็จะต้องเสียใจภายหลัง อีกไม่กี่วัน พวกเจ้าจะต้องตายแน่นอน ข้าจะขอพูดไว้ตรงนี้เลยว่า คอยดูละกัน!”

เมื่อพูดดังนั้นแล้วก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปอย่างเดือดดาล ตอนที่เดินลงบันได ไม่รู้ว่าไปลื่นได้อย่างไร เขากลิ้งลงบันไดมาอย่างรุนแรง จนแทบจะเอาชีวิตเขาไปได้เลย

.......

ตระกูลอู๋นั้นมีการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมมารุ่นสู่รุ่น ในแง่ของลำดับความอาวุโสแล้ว ตระกูลอู๋ยังมีพระคุณการสนับสนุนตระกูลซ่งด้วย เพราะมีตระกูลอู๋คอยชี้แนะ ตระกูลซ่งจึงได้รุ่งโรจน์ในพระราชสำนัก จนกระทั่งไท่ฟู่ได้สนับสนุนฮ่องเต้ฉินขึ้นครองบัลลังก์ได้สำเร็จ ตระกูลซ่งจึงได้มีอำนาจมากยิ่งขึ้น

ผู้นำตระกูลอู๋เองก็เคยพยายามโน้มน้าวแล้ว แต่ไท่ฟู่ที่กำลังมีอำนาจกลับไม่รับฟังอะไรเลย แถมยังเห็นตระกูลเป็นอุปสรรคแห่งความสำเร็จอีกด้วย ด้วยการใช้อำนาจในมือ เขาไม่ยึดมั่นในคำมั่นสัญญา ละทิ้งคุณธรรม หลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ กวาดล้างตระกูลอู๋จนสิ้น และฉวยโอกาสยึดทุกอย่างของตระกูลอู๋มาเป็นทรัพย์สินของตระกูลซ่ง

คนเดียวที่เหลือรอดในตระกูลอู๋ นั่นคือบรรพจารย์ของไท่ฟู่ และที่ไท่ฟู่ไว้ชีวิตเขาก็เพื่อให้เขาได้เห็นตระกูลซ่งค่อยๆรุ่งโรจน์ขึ้นกับตา เพื่อให้รู้ว่ามีเพียงทางของไท่ฟู่เท่านั้นที่ถูกต้อง

ฉินเหยียนปิดหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์แล้วพูดอย่างครุ่นคิดว่า “อดีตผู้นำตระกูลอู๋คนนี้ยังมีชีวิตอยู่รึไม่?”

จ้าวจีเอ๋อร์ชี้ไปยังป้ายคำขวัญเหนือศีรษะของนางแล้วพูดว่า “ป้ายคำขวัญที่เหนือกว่าชิ้นอื่นที่ให้กับศาลาว่าการ เป็นฝีมือของเขาเพคะ”

ฉินเหยียนจ้องมองตัวอักษรบนป้ายคำขวัญอย่างจดจ่อแล้วพึมพำว่า “คนผู้นี้ช่างมีพรสวรรค์มากยิ่งนัก”

เขาครุ่นคิดแล้วยืนขึ้นออกคำสั่งว่า “ทหาร เตรียมม้าซะ ข้าจะไปเยี่ยมเยือนคนผู้นี้เสียหน่อย”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์