องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 381

ไฟไหม้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเผชิญกับไฟนี้ กำลังของคนก็ไม่เป็นประโยชน์นัก ไม่ว่าจะพยายามดับไฟแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย

ผู้อาวุโสตระกูลซ่งต่างพากันร้อนรนอย่างมาก พวกเขายืนล้อมอยู่ห่างๆ แล้วตะคอกให้คนรับใช้ดับไฟ

“ไปดับไฟทางนั้น!”

“เจ้าคนไร้ประโยชน์ เจ้าโง่ รีบไปเอาน้ำมา!”

เหล่าคนรับใช้รีบร้อนวุ่นวายไปหมด ไม่กล้าหยุดพักเลยแม้แต่นาทีเดียว พวกเขาวิ่งเข้าไปท่ามกลางควันไฟหนาแน่นเพื่อดับไฟอย่างสุดกำลัง แต่ทว่าคนรับใช้ที่ทำการดับไฟนั้นยิ่งอยู่ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ประกอบกับลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาด้วยแล้ว ทำให้ไฟลุกลาม อาคารโดยรอบเองก็เริ่มลุกไหม้อย่างรุนแรง

เหล่าผู้อาวุโสตระกูลซ่งสำลักควันไฟจนลืมตาไม่ขึ้น พวกเขาปิดปากปิดจมูก ไอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วพูดอย่างสงสัยว่า

“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดคนดับไฟจึงน้อยลงเรื่อยๆ?”

ผู้นำผู้อาวุโสที่อาการสาหัสแต่แรกแล้วสำลักควันไฟจนหายใจไม่ออก เขาพยายามพูดว่า

“อย่าพูดไร้สาระ รีบดับไฟเร็วเข้า!”

เมื่อสิ้นเสียงแล้ว หลังคาหลังหนึ่งทางทิศตะวันออกก็พังทลายลงมาอย่างเสียงดัง ทำให้เหล่าผู้อาวุโสตระกูลซ่งตกใจจนขวัญกระเจิง

ไฟลุกโชนอย่างรุนแรงจนทำให้เมืองหลวงสว่างไสวในยามค่ำคืน ไฟยังคงลุกไหม้ต่อไปเป็นเวลาหลายชั่วโมงตลอดทั้งคืน จนกระทั่งฟ้าสาง ทั่วท้องฟ้าในเมืองหลวงก็เต็มไปด้วยหมอกควัน

อย่างไรก็ตาม ภายใต้แสงยามเช้า จวนตระกูลซ่งได้ถูกมอดไหม้จนเหลือแค่ซากปรักหักพัง สุดท้ายมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษชิ้นสุดท้ายก็ถูกไฟลุกไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน

บนถนนนอกจวนบรรพบุรุษตระกูลซ่ง เหล่าผู้อาวุโสตระกูลซ่งมีสภาพราวกับสุนัขไร้บ้าน สภาพควันเต็มตัว ดำเกรียมไปหมดเหมือนขอทานชรา ยืนโดดเดี่ยวอยู่นอกลาน ไม่มีแม้กระทั่งคนรับใช้เลยแม้แต่คนเดียว จ้องมองจวนบรรพบุรุษที่กลายเป็นซากปรักหักพังอย่างเหม่อลอย

“หมดสิ้นแล้ว ทุกอย่างหมดสิ้นแล้ว......”

“พรึบๆ” นกพิราบส่งข่าวสีขาวกระพือปีกบินไปยังเขตซุ่นชิ่ง บินข้ามผ่านภูเขาและแม่น้ำ ทุ่งนาและบ้านไร่ ไม่นานก็ได้มาถึงยังเขตซุ่นชิ่ง กลับมายังห้องของฉินเหยียน

ต้าหย่งไม่ได้นอนเลยทั้งคืน เมื่อเห็นนกพิราบส่งข่าวมาถึงก็รีบหยิบเม็ดข้าวสารมากำหนึ่ง เพื่อล่อให้นกพิราบส่งข่าวบินมาลงบนฝ่ามือ

เขานำจดหมายออกมาจากขาของนก แล้ววิ่งไปยังห้องของฉินเหยียนอย่างดีอกดีใจ เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วประสานมือคารวะรายงานว่า “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ จดหมายนกพิราบของอวี่ชินหวังมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ประตูห้องเปิดออก

เสี่ยวเยว่วิ่งลุกล้มคลุกคลานออกมา สีหน้าร้อนรนและซึมเศร้า เห็นได้ชัดว่าไม่ได้นอนหลับมาทั้งคืน

“แม่นางเสี่ยวเยว่ขอรับ”

“โชคดีเจ้าค่ะ”

เสี่ยวเยว่รีบกล่าวทักทายกลับ นางรับจดหมายมาแล้วรีบวิ่งเข้าไปด้านในห้อง

ขณะนี้ฉินเหยียนได้ตื่นแล้ว เขากำลังชำระกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยมีสิบสองปิ่นหิรัญย์คอยปรนนิบัติ

เสี่ยวเยว่รีบวิ่งโซเซเข้ามาแล้วล้มลงตรงเบื้องหน้าของฉินเหยียน

แรงงานชายร่างใหญ่ คนรับใช้เฉินซื่อ คนรับใช้หวังอู่ คนรับใช้......

บนกระดาษสีขาวได้เขียนรายชื่อเอาไว้เต็มไปหมด ล้วนเป็นชาวเมืองที่เป็นแรงงาน ถูกตระกูลซ่งจับตัวไป และถูกบีบบังคับให้รับใช้

ตรงหน้าป้ายประกาศถูกล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา เมื่อเห็นรายชื่อของครอบครัวที่ถูกอภัยโทษ ครูผู้หญิงในสถานศึกษา แม่ครัวที่ทำอาหาร และผู้คนอีกมากมายต่างก็น้ำตาอาบแก้มไปหมด นักฆ่าที่ตระกูลซ่งส่งมาเองก็ได้ถูกจัดการไปเพราะเหตุการณ์นี้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

......

ศาลาที่ว่าการ

ฉินเหยียนกำลังพูดคุยเรื่องการเปิดร้านในเขตซุ่นชิ่งกับจางอวิ๋นซูอยู่

“รวมแล้วจะทำการเปิดสี่แห่ง โดยจะมีร้านอาหาร หอบุปผา หอโคมเขียว หอแดง เรื่องร้านอาหารไม่ต้องพูดมากความ ให้บริการในรูปแบบบุฟเฟ่ต์ สามารถทานอะไรก็ได้โดยจ่ายเพียงสิบอีแปะ”

จางอวิ๋นซูสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ขอความกรุณาด้วยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง เพียงสิบอีแปะก็สามารถทานอิ่มท้องได้เช่นนี้ จะต้องเกิดการขาดทุนแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ แล้วจะทำเช่นไรละพ่ะย่ะค่ะ?”

ฉินเหยียนอธิบายอย่างเอือมระอาว่า “ต้องอธิบายให้คนโบราณอย่างพวกเจ้าฟังครั้งแล้วครั้งเล่าเนี่ยช่างยุ่งยากจริงๆ”

“จิ่วโหลวจิ่วโหลว ความหมายตามชื่อ เป็นร้านเอากำไรในการขายเหล้า ทานอาหารต้องถูกอยู่แล้ว แต่หากในอนาคตรุ่งเรืองแล้วมีลูกค้ามากมาย ได้กำไรจากเหล้า จากการแสดง การให้เงินรางวัล เพียงแค่มีลูกค้าเรื่อยๆต่อไป ก็สามารถทำกำไรได้มากกว่าอาหารอยู่แล้ว”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์