“ท่านอ๋อง ช้าหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ทรงดื่มมากเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเย้าจู้พยุงฉินเหยียนเดินออกจากลานกว้าง ทันทีที่ออกจากสายตาของพวกผู้หญิง ฉินเหยียนก็สร่างเมาทันที
“ดื่มมากอะไรกันละ ข้าจงใจแสร้งทำ เจ้ามองไม่ออกรึ?”
หลินเย้าจู้มึนงงเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจเลยว่าอ๋องเหยียนทำไปเพื่ออะไร
“รีบไปเร็วเข้า หากพวกผู้หญิงพวกนั้นจับได้ว่าข้าแสร้งเมา คืนนี้คงไม่ปล่อยข้าไปแน่”
และแล้วฉินเหยียนก็ลากหลินเย้าจู้ขึ้นรถม้าไป
“ไป ไปที่โรงงานลับบนภูเขา”
ต้าหย่งควบม้าแล้วคุ้มครองไปส่ง
บนรถ
หลินเย้าจู้อารมณ์ดิ่งและไม่มีความสุข
ฉินเหยียนเองก็มองความเศร้าของเขาออก ไม่ต้องเดาก็รู้ถึงสาเหตุ นั่นเองก็เป็นสิ่งที่ฉินเหยียนจงใจทำ
“เย้าจู้เอ๋ย เจ้ารู้รึไม่ว่าเหตุใดข้าจึงรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ แต่กลับไม่รับคนมีความสามารถเหล่านั้น?”
ปากแผลของหลินเย้าจู้ถูกตีอย่างจัง
“ท่านอ๋องโปรดชี้แนะด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเหยียนพูดอย่างชอบธรรมว่า “อย่างแรก ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนแบบที่ข้าถูกใจ ต่อมาเจ้ามีน้ำใจและรักศีลธรรม กล้ายอมรับ ส่วนเรื่องนิสัยไม่ต้องพูดถึง อ้วก”
ต่อให้ฉินเหยียนจะแสร้งเมา แต่ในช่วงบ่ายก็ดื่มไปไม่น้อยเลย มีกลิ่นเหล้าแรง หากไม่มึนเมาก็คงไม่จริง
“ท่านอ๋อง กลับไปดีไม่พ่ะย่ะค่ะ เรื่องอื่นเอาไว้คุยวันพรุ่งนี้”
หลินเย้าจู้เห็นแก่ฉินเหยียน แต่ฉินเหยียนกลับไม่ยอม “เจ้ากำลังสอนข้ารึ?”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” หลินเย้าจู้ขออภัยอย่างผวา
“ข้าล้อเล่น เจ้าจะกังวลขนาดนี้ทำไม เจ้าน่ะ มีอุดมการณ์มีความทะเยอทะยาน แต่ขาดความสามารถและเดินผิดทางไป”
ในตอนที่ฉินเหยียนพูดอย่างฉะฉาน ชาวเมืองก็บนท้องถนนก็ร้องด้วยความดีใจอย่างเสียงดัง
“หยุดรถ”
ฉินเหยียนออกคำสั่งให้หยุดรถแล้วเปิดม่านประตู แล้วพบว่าบนเวทีลานบนถนน มีคนกำลังเต้นรำร้องไห้ บางทีก็แสดงละคร บางคนก็กำลังเล่าเรื่องเล่าอยู่
เหล่าชาวเมืองที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันมารวมตัวกันที่ลาน เพื่อทานอาหารเย็นที่หลากหลาย ดูการแสดงที่ตนเองชื่นชอบ ปรบมือร้องให้กำลังใจเหล่านักแสดงอย่างมีความสุข
เมื่อหลินเย้าจู้เห็นภาพเหล่านี้ก็ต้องยอมรับเลยว่ามันครึกครื้นยิ่งกว่างานประจำปีเสียอีก แต่นี่เป็นชีวิตประจำวันของเมืองใหม่เท่านั้น
จู่ๆฉินเหยียนก็พูดขึ้นว่า “เย้าจู้เอ๋ย ข้าขอถามเจ้า ว่าบรรดานักแสดงที่อยู่บนเวที สามารถรับราชการในพระราชสำนักได้รึไม่?”
หลินเย้าจู้อึ้งไป “นักแสดงรับราชการในพระราชสำนัก เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นก็โบกมือ “ฝ่ายเราเอง เปิดทาง”
รถม้าเดินหน้าต่อไปแล้วเข้าสู่ถนนทางในภูเขา เมื่อผ่านผืนป่ามาแล้วก็มาจอดลงตรงจวนที่ลับตาแห่งหนึ่ง
ต้าหย่งจอดรถม้าแล้วประสานมือคารวะพูดว่า “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ถึงจวนปฏิบัติการลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ผ้าม่านประตูถูกเปิดออก หลินเย้าจู้รีบทำท่าทางให้งดส่งเสียง
“ชู่ว์ ท่านอ๋องหลับไปแล้ว”
ต้าหย่งมองแล้วก็พูดเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร อย่างไรวันนี้ก็มาเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้เจ้า ตามข้ามาเถิด”
หลินเย้าจู้ลงจากรถม้าแล้วมองไปยังฉินเหยียนที่กำลังนอนกรนอยู่ จึงได้ลงจากรถม้าแล้วเดินตามต้าหย่งไป เขาถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า
“ไม่ทราบว่าพาข้ามาที่นี่เพราะเหตุอันใดรึขอรับ?”
ต้าหย่งพูดว่า “ที่พาเจ้ามาที่นี่ ถือเป็นความโชคดีของเจ้า อย่างอื่นข้าเองก็ไม่กล้าคาดเดาไปเอง”
หลินเย้าจู้ไม่กล้าถามมาก จึงเดินตามหลังเงียบๆต่อไปจนเข้าไปจวนปฏิบัติการลับลึกลับ ความจริงแล้วสถานที่แห่งนี้ดูเหมือนเป็นวัดพังๆในถิ่นทุรกันดาร ไม่ไกลจากที่นี่ จะเป็นหลุมศพของแม่ทัพหยาง แถมมันยังถูกสร้างขึ้นอย่างลับๆในเวลาเดียวกันด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นฐานการวิจัยลับของฉินเหยียนด้วย
เมื่อเข้ามาในวัดเก่าแล้วก็มีคนดันพระรูปหนึ่ง นี่คืออุโมงค์ใต้ดินที่ลึกและมืด ต้าหย่งจุดคบเพลิงแล้วพยักหน้า
“เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปกับข้าแล้วรึยัง?”
หลินเย้าจู้รวบรวมสติ “พร้อมแล้วขอรับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์
คนเขียนเก่งจริง ทำให้คนอ่านรู้สึกหงุดหงิดกับการตามหาลูกสาวของฉินเหยียน และจังหวะคาดที่จะได้เจอกันของเฝิงตู่กับฉินเหยียนจริงๆ ถ้าจะหากันจริงๆก็น่าจะทำง่ายป่ะ ประกาศหรือแจ้งข่าวไปว่าฮ๋องเหยียนต้องการพบปะเฝิ่งตู่นัดให้ไปเจอสักที่ตัวเองมีเครือข่ายทั่วอาณาจักรยังไงข่าวก็ต้องถึงหูอยู่แล้ว บัดเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเอาเลยพระเอกฉัน...
จบแล้วเหรอคะ ..จบแบบงงๆ...
จะมีต่อ..หรือจบแล้วครับ...
มีต่อมั๊ยครับ สนุกมากขอบคุณครับ...
รออ่านอยูนะครับสนุกมาก...
รออ่านดูนะครับ..เมตตาลงต่อเร็วหน่อยนะคะรับ รอแบบไม่มีกวังเลยครับตอนนี้ เงียบหลายวันมากๆ ขอความเมตตาช่วยลงให้อ่านด้วยครับ...
รอตอนที่ 631 อยู่นร้า...
รอตอนต่อไป…กำลังสนุก...
สนุกมากครับขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครับของคุณครับ...
มาแล้ว630...