องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 611

ฉินเหยียนเองก็ไม่คิดว่าจะมาเจอเฝิงตู่ที่นี่ เขายิ้มอย่างเก้อเขินแล้วพูดว่า

“ยังจะมาว่าข้าอีกนะ แล้วดาบของเจ้าล่ะ เอาไปเล่นแพ้งั้นรึ?”

เฝิงตู่หัวเราะแล้วพูดว่า “แพ้อะไรกัน พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่เจอแค่วันเดียวเหตุใดพวกเจ้าทั้งสองจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้? หรือว่าเพราะไม่มีข้าคอยคุ้มครองก็เลยถูกชิงเงินไปจนหมด?”

ฉินเหยียนหัวเราะแห้งๆแล้วเปลี่ยนเรื่อง “คนเราก็ต้องมีช่วงที่ดวงซวยกันบ้างไม่ใช่รึ ข้าก็เป็นเหมือนที่เจ้าพูดไว้ ดวงซวยเหมือนกัน”

เฝิงตู่เห็นว่าหมอตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วยังหัวเราะออกมาได้ เขาเพิ่งจะเคยเจอกับคนที่มองโลกในแง่บวกแบบนี้เป็นครั้งแรก จึงแอบรู้สึกนับถืออยู่ในใจ

เฝิงตู่กอดอกแล้วยืนพิงเสาไม้ในวัดแล้วถอนหายใจพูดว่า “ตอนที่เห็นเสี่ยวจิ่วข้าคิดว่าอาหารค่ำวันนี้รอดแล้วเสียอีก ดูท่าตอนนี้พวกเจ้าก็มีปัญหาเรื่องกินข้าวเหมือนกันสินะ”

ฉินเหยียนล้วงกระเป๋าเสื้อออกมาแล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ดูสิกระเป๋าข้าสะอาดกว่าใบหน้าของข้าอีก จะไปมีเงินกินข้าวได้อย่างไร”

เฝิงตู่ครุ่นคิดแล้วยิ้มอย่างชั่วร้ายพูดว่า “กินข้าวเรื่องง่าย พวกเจ้าคอยข้าอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา!”

ว่าแล้วก็เขาก็วิ่งปีนกำแพงออกไปอย่างรวดเร็ว ฉินเหยียนมองแผ่นหลังที่ว่องไวของเฝิงตู่แล้วรู้สึกว่าวิชาตัวเบาของเขาสุดยอดจริงๆ ไม่นานเฝิงตู่ก็ปีนกลับมาในวัด ในมือยังถือไก่ไว้ตัวหนึ่งด้วย เขาเอามาให้ฉินเหยียนดู

“ดูสิ มีอาหารแล้วนี่ไง!”

ฉินเหยียนเบิกตากว้างแล้วพูดอย่างตะลึงว่า “ลักไก่คลำสุนัขรึ!”

เสี่ยวจิ่วเห็นว่ามีเนื้อไก่ให้กินก็พูดอย่างดีใจว่า “พี่เฝิงตู่สุดยอดไปเลย!”

เฝิงตู่แตะปลายจมูกของเสี่ยวจิ่วแล้วพูดอย่างภูมิใจว่า “เสี่ยวจิ่วเนี่ยพูดเก่งจริงๆ เดี๋ยวพี่จะแบ่งน่องไก่ให้เจ้านะ!”

“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่เฝิงตู่!”

ฉินเหยียนยิ้มเจื่อนแล้วส่ายหน้า “นี่เจ้าจะสอนเรื่องดีๆหน่อยได้รึไม่?”

เฝิงตู่พูดตอบกลับว่า “จนป่านนี้แล้ว เจ้าหมอเลิกทำเย่อหยิ่งได้แล้ว ถือโอกาสที่พวกขอทานไม่หยุด เราสามคนมากินไก่ให้หมดดีกว่านะ ไม่เช่นนั้นถ้าพวกนั้นกลับมาคงไม่พอแบ่งหรอก”

ฉินเหยียนเองก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขารีบเข้าไปช่วยก่อไฟย่างไก่

ทั้งสามคนนั่งอยู่รอบๆกองไฟ เฝิงตู่มองเปลวไฟแล้วพูดคุยไปด้วยว่า

“พวกเจ้าทั้งสองเนี่ยช่างมองโลกในแง่ดีจังเลยนะ ตกอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วแท้ๆยังไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเลย”

ฉินเหยียนมองเสี่ยวจิ่วแล้วพูดเรียบๆว่า “ถ้าจะบอกว่ามองโลกในแง่ดี เสี่ยวจิ่วต่างหากที่มองโลกในแง่ดีจริงๆ”

เฝิงตู่พยักแล้วพูดว่า “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ข้าไม่รู้สิแปลก”

ฉินเหยียนอธิบายว่า “พวกขอทานได้ยินมาว่า เหล่าขุนนางไม่แยแสว่าพวกเขาจะเป็นหรือตายเพียงเพื่อหยิ่งในศักดิ์ศรี ในเมื่อพวกตระกูลขุนนางไม่มีความเมตตาก่อน เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเขาไร้ความยุติธรรม ยอมทำให้สุดความสามารถ จะไปปล้นชิงตระกูลขุนนาง เพื่อให้ได้กินอิ่มท้อง ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

เฝิงตู่ทำเสียงเย็นชา “สมควรปล้นชิงพวกมันตั้งนานแล้ว”

ฉินเหยียนขยับหน้าเข้าไปใกล้เฝิงตู่แล้วกระซิบว่า “หรือว่าคืนนี้เราไปร่วมปล้นชิงด้วยดี?”

เฝิงตู่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาพูดอย่างชอบธรรมว่า “ข้า! ข้าคือเฝิงตู่เชียวนะ ให้ข้าไปปล้นชิงงั้นรึ คงถูกหัวเราะเยาะจนตายแน่ๆ!”

ฉินเหยียนเองก็หุบยิ้มแล้วพูดว่า “ที่เจ้าไปทำเรื่องลักไก่คลำสุนัขจะไม่โดนหัวเราะเยาะงั้นรึ? นี่คือการปล้นจากคนรวยมามอบให้คนจน ถ้าเจ้าไม่ไป ข้าไป!”

ทั้งสามคนกินไก่ตัวหนึ่งจนหมดเกลี้ยง เฝิงตู่เรอออกมาอย่างพึงพอใจ เขายืนขึ้นเช็ดปากแล้วมองฉินเหยียนพร้อมประสานมือพูดว่า

“กินอิ่มท้องแล้ว หากมีวาสนาค่อยพบเจอกันใหม่ ขอตัว!”

ฉินเหยียนเองประมือคารวะกลับเป็นมารยาท และเห็นว่าเฝิงตู่ปีนกำแพงออกไปอีกแล้ว เฝิงตู่เพิ่งจะออกไป เหล่าขอทานก็กลับมาที่วัดโทรมๆทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์