องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 631

“อ๋องเหยียนแห่งอาณาจักรฉินเสด็จ!”

หอหม่านฮวา

เมื่อมีเสียงตะโกนมาแล้วบรรยากาศที่ครึกครื้นพูดคุยกันก็เงียบสงบลงมาทันที เหล่าบริกรในหอหม่านฮวาและคนอาณาจักรต่างก็คุกเข่าคำนับ

“อ๋องเหยียนพ่ะย่ะค่ะ”

เหล่าผู้นำตระกูลขุนนางและหนุ่มสาวผู้มีความสามารถต่างก็พากันมองไปยังบันได และพบว่าฉินเหยียนพาจ้าวจีเอ๋อร์ค่อยๆเดินลงจากบันไดมาแล้ว

ฉินเหยียนสวมชุดพิธีปักลายงูเหลือมสีดำที่เป็นตัวแทนอาณาจักรฉิน เขาดูอบอุ่นและสง่างาม ดูมีบารมี และดูน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก ทำให้รู้สึกได้ถึงความเกรงขามแม้จะไม่ได้ทำอะไรเลย แม้กระทั่งทุกการเคลื่อนไหวก็ทำให้รู้สึกถึงความกดดันอย่างมาก

ฉินเหยียนยิ้มแล้วประสานมือคารวะต่อเหล่าตระกูลขุนนาง “เรียกทุกท่านมาในยามดึกดื่นป่านนี้ ต้องขออภัยจริงๆ”

ท่าทีของฉินเหยียนเปลี่ยนไป จากน่าเกรงขามเป็นยิ้มอย่างอ่อนโยนกันเอง ช่างยากที่จะเข้าใจจริงๆว่าเหตุใดออร่าของคนๆหนึ่งจึงเปลี่ยนได้ไวมากขนาดนี้

“ทุกท่านทุกขึ้นมาเถิด ที่นี่ไม่ใช่พระราชวัง ไม่ต้องคุกเข่าให้ข้า”

ฉินเหยียนบอกให้คนอาณาจักรฉินและคนรับใช้ลุกขึ้น แน่นอนว่านอกจากคนอาณาจักรฉินและบริกรในหอหม่านฮวาแล้ว เหล่าตระกูลขุนนางไม่มีทางคุกเข่าให้ฉินเหยียนแน่นอน

“ผู้นำตระกูลทุกท่าน ข้าฉินเหยียนชื่นชมพวกท่านมานานแล้ว ครั้งนี้เป็นเกียรติที่ได้มาเยือนอาณาจักรจ้าวจึงอยากจะเรียกทุกท่านมาอย่างอดใจไม่ไหว อยากจะรู้จักผู้นำทั้งหลายสักหน่อย ปล่อยให้ต้องคอยอยู่นาน โปรดให้อภัยด้วยนะ”

ฉินเหยียนพูดไปด้วยแล้วเดินไปด้วย เขาประสานมือคารวะต่อแขกเพื่อเป็นมารยาท ไม่มีมาดของอ๋องเหยียนอาณาจักรฉินเลยสักนิด

“หึ คนอาณาจักรฉิน ก็ไม่เท่าไรนี่” ชายวันหนุ่มคนหนึ่งในตระกูลขุนนางพูดอย่างเย็นชา

ว่ากันว่าอ๋องเหยียนอาณาจักรฉินนั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถเหนือใคร คิดว่าจะมีอะไรพิเศษ แต่เมื่อได้พบแล้วก็น่าผิดหวัง

เมื่อต้าหย่งได้ยินคำพูดประชดประชันก็แผ่จิตสังหารออกมา แล้วจ้องคนหนุ่มตระกูลขุนนางเขม็ง

“อ๋องเหยียนไว้หน้าตระกูลขุนนางทุกท่านเจรจากันด้วยเหตุผลก่อน อย่าคิดว่าอ๋องเหยียนจะไร้เดียงสา หากทำตัวได้ใจเกินไปนัก และยังกระทำสิ่งที่ไม่เคารพต่ออ๋องเหยียนอีก ข้าคงต้องชักดาบสั่งสอนแล้ว”

เห็นได้ชัดว่าเมื่อต้าหย่งแผ่จิตสังหารแล้วก็สามารถทำให้ทุกคนตกตะลึงได้ ทำให้เหล่าผู้นำตระกูลขุนนางและลูกศิษย์ต้องเหงื่อตกและไร้เรี่ยวแรง ไม่กล้าเงยหน้ามองตรงๆ

“ต้าหย่ง อย่าทำให้แขกของข้าตกใจกลัวสิ”

ฉินเหยียนห้ามขึ้นในยามคับขันจึงทำให้ต้าหย่งหยุดแผ่จิตสังหาร ขืนปล่อยไว้จะต้องกดดันจนหายใจไม่ออกแน่นอน เหล่าขุนนางเองก็โล่งอก และรู้ว่านี่คือการขู่ จึงไม่ได้สนใจไยดี

ฉินเหยียนรับน้ำชาจากจ้าวจีเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่านางสีหน้าไม่เปลี่ยนจึงได้วางใจเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องพูดอย่างฉะฉานว่า

“ข้ารู้จักจ้าวจีเอ๋อร์เมื่อราวสามปีที่แล้ว ตอนนั้นอาณาจักรจ้าวเป็นฝ่ายอยากสมรสทางการเมืองกับอาณาจักรฉิน จึงได้ส่งจ้าวจีเอ๋อร์มาอภิเษกกับข้า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกข้าก็รักใคร่กันอย่างมาก และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

“หลายปีมานี้ อาณาจักรจ้าวเกิดความหิวโหยไปทั่ว โรคระบาดลุกลาม เกิดสงครามขึ้น ชาวเมืองตกทุกข์ได้ยาก จ้าวจีเอ๋อร์วิตกต่อเรื่องอาณาจักรยิ่งนักจนกินดื่มไม่ได้นอนไม่หลับ ทำให้ข้ารู้สึกเห็นใจนางยิ่งนัก จึงได้ให้ทหารนำเสบียงมาช่วยเหลือต่ออาณาจักรจ้าว เพื่อช่วยเมืองให้พ้นจากทุกข์ภัย”

“บัดนี้ความโกลาหลในอาณาจักรจ้าวก็สงบลงแล้ว แต่ก็ยังคงมีแต่ความเสียหายไปทั่ว จ้าวจีเอ๋อร์จิตใจดีงามยิ่งทนไม่ได้ที่ได้เห็นชาวเมืองไร้ที่อยู่อาศัย นางยอมลดเกียรติและขอความช่วยเหลือจากคนอาณาจักรฉิน เพื่อสร้างอาณาจักรขึ้นใหม่”

“นางตระหนักถึงความชอบธรรม แต่ก็ทำเพื่อชาวเมืองได้ถึงเพียงนี้ ไม่แยแสต่อการต่อว่าของผู้ใด ข้าผู้เป็นพระสวามีก็ไม่อาจมองข้ามไปได้”

ฉินเหยียนพูดเปลี่ยนประเด็น แล้วมองเหล่าผู้นำตระกูลขุนนาง จากนั้นก็กางแขนทั้งสองข้างออกแล้วพูดอย่างน่าเกรงขามว่า “วันนี้ที่ข้าเชิญทุกท่านมาก็เพราะมีเรื่องต้องการความช่วยเหลือ”

เมื่อสิ้นเสียงแล้วกองกำลังพยัคฆ์เสือดาวแห่งอาณาจักรฉินก็ยกหีบใหญ่ๆเข้ามาหลายหีบ จากนั้นก็วางลงเบื้องหน้าของแต่ละตระกูล

เมื่อเปิดออกแล้วด้านในล้วนเป็นทองคำที่ระยิบระยับ เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ มันดึงดูดสายตาอย่างมาก

“ของขวัญเล็กๆน้อยๆ ไม่รอบคอบเท่าไร อย่าถือสาเลยนะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์