เมื่อฉินเหยียนเห็นว่าเฉิงเซินระมัดระวังมากเช่นนี้ก็รู้สึกไม่ดีเท่าไร
“กลัวอะไรกัน ข้าไม่กินเนื้อคนเสียหน่อย รีบลุกขึ้นเถิดไม่ต้องคุกเข่าให้ข้าหรอก ที่นี่ไม่มีระเบียบเช่นนั้น รีบยืนขึ้นเสีย”
ว่าแล้วก็ยังพยุงเขาให้ยืนขึ้นด้วย
เฉิงเซินไม่คิดว่าอ๋องเหยียนจะลดตัวลงมาพยุงเขาเอง เขารู้สึกหัวสมองว่างเปล่าไปหมด และพูดโดยไม่รู้ตัวว่า
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะอ๋องเหยียน!”
เมื่อฉินเหยียนเห็นใบหน้าของเฉิงเซินชัดๆแล้วก็พูดว่า “รูปงามนะเนี่ย! แต่ว่าข้าเคยพบเจ้าที่ไหนมาก่อนรึเปล่า?”
หยางจิ่นซิ่วอธิบายข้างๆฉินเหยียนว่า “เขาคือคนที่ขวางทางของเราตอนเข้าเมือง”
ฉินเหยียนจึงจะนึกขึ้นได้ แล้วมองเฉิงเซินด้วยความชอบใจ
“ตอนนั้นข้ามองว่าเจ้าหนุ่มช่างมีไหวพริบดีจริงๆ ไม่คิดว่าจะเฉลียวฉลาดถึงเพียงนั้น ไม่เลวเลยนะเจ้าหนุ่ม ทำงานเหนื่อยรึไม่ ทานอาหารค่ำแล้วหรือยัง?”
“หา?” ตอนนี้เฉิงเซินตั้งสติไม่ได้เลย อ๋องเหยียนเปรียบเสมือนชายแบบอย่างในดวงใจของเขา ตอนนี้ชายแบบอย่างในดวงใจของเขากลับกำลังถามว่าเขาทานอาหารแล้วหรือยัง! นี่จะให้เขาตอบว่าทานแล้วหรือยังไม่ทานนะ?
“คือว่า......”
ในขณะที่กำลังลังเล ฉินเหยียนก็ตบบ่าของเขาแล้วพูดว่า “ยังไม่ได้ทานก็มาทานกับข้าสักหน่อยสิ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนเสียหน่อย ทุกคนก็อย่ามัวนิ่งเฉยอยู่ มาทานด้วยกัน!”
เมื่อสิ้นเสียงฉินเหยียนก็เดินนำไปยังโต๊ะอาหาร เมื่อเขานั่งลงแล้วคนอื่นๆก็พากันนั่งลงด้วย
มีเพียงเฉิงเซินที่ลังเลไม่กล้าเข้าไปนั่ง อย่างไรการนั่งกับคนเบื้องบนมากขนาดนี้ เขาก็ไม่กล้าจริงๆ!
เมื่อต้าหย่งเห็นว่าเขาไม่ยอมมานั่งเสียที จึงเดินไปข้างๆเขาแล้วเอาตัวเขานั่งลงที่เก้าอี้แล้วพูดเสียงเบาว่า
“ท่านอ๋องบอกให้เจ้านั่ง เจ้าก็นั่งลง”
เฉิงเซินฝืนยิ้มออกมาแล้วตอบกลับว่า “ขอรับ”
ฉินเหยียนยกจอกเหล้าขึ้นแล้วทักทายว่า “ทุกคนทานอาหารแล้วก็ไปพักผ่อนเสีย เดินทางมานานก็เหนื่อยแย่แล้ว”
ทุกคนต่างชูจอกเหล้าขึ้นเพื่อทำความเคารพกลับ
“ขอบพระทัยในความกรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ทุกคนกินดื่มกันโดยที่ไม่มีใครเกรงใจอะไร ราวกับว่าไม่มีการแยกชนชั้นเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชา บรรยากาศกลมกลืนกันอย่างมาก
มีเพียงเฉิงเซินที่แปลกแยก เขานั่งตัวตรงเกร็ง ไม่กล้าขยับเลยแม้แต่น้อย เขาที่ไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ตกใจจนสั่นไปหมด
เมื่อฉินเหยียนเห็นว่าเฉิงเซินไม่กล้าคีบอาหาร จึงบอกกับฉีเยี่ยนเอ๋อร์ว่า “เขาคือคนจากแผนกซวนจิงของเจ้า ช่วยดูแลเขาด้วยนะ”
“เพคะ”
พวกเขากินดื่มกันอย่างเต็มที่
ฉินเหยียนพูดขึ้นหลังทานอิ่มแล้วว่า “ข้าไม่ได้กลับมานาน การเดินทางไกลก็เหน็ดเหนื่อย ข้าขอตัวไปพักผ่อนกับภรรยาก่อนละนะ”
เมื่อสิ้นเสียงแล้วก็ลุกขึ้นแล้วจับมือของจ้าวจีเอ๋อร์แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “เราไปนอนกันเถิด”
จ้าวจีเอ๋อร์สีหน้าแดงก่ำทันที นางลุกขึ้นยืนอย่างเชื่อฟัง
ฉินเหยียนพูดย้ำด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าค่อยๆทานกันละ ข้าขอตัวก่อนล่ะ”
เขาโอบไหล่ของจ้าวจีเอ๋อร์แล้วเดินเข้าห้องด้านในไปด้วยความรักใคร่
หยางจิ่นซิ่วและเซี่ยชิงเองก็ถอยไปพร้อมกับอ๋องเหยียน อย่างไรก็เป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ ต่อให้อ๋องเหยียนจะอยู่ในห้อง พวกนางสองคนก็ต้องคอยเฝ้าอยู่ด้านในห้องคนหนึ่ง และด้านนอกห้องคนหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอะไรขึ้น
เมื่อต้าหย่งเห็นว่าฉินเหยียนไปบรรทมแล้ว เขาต้องไปตรวจสอบให้แน่ใจเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นในระยะนี้ จึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า
“พวกเจ้าพูดคุยกันเถิด ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน”
ฉีเยี่ยนเอ๋อร์ค่อยๆพยักหน้า เมื่อต้าหย่งไปแล้ว นางก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรง แล้วจ้องเฉิงเซินเขม็งพร้อมด่าทอว่า
“เจ้าช่างกล้านักนะ ถึงได้บุกเข้ามาในจวนเจ้าเมืองได้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์
คนเขียนเก่งจริง ทำให้คนอ่านรู้สึกหงุดหงิดกับการตามหาลูกสาวของฉินเหยียน และจังหวะคาดที่จะได้เจอกันของเฝิงตู่กับฉินเหยียนจริงๆ ถ้าจะหากันจริงๆก็น่าจะทำง่ายป่ะ ประกาศหรือแจ้งข่าวไปว่าฮ๋องเหยียนต้องการพบปะเฝิ่งตู่นัดให้ไปเจอสักที่ตัวเองมีเครือข่ายทั่วอาณาจักรยังไงข่าวก็ต้องถึงหูอยู่แล้ว บัดเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเอาเลยพระเอกฉัน...
จบแล้วเหรอคะ ..จบแบบงงๆ...
จะมีต่อ..หรือจบแล้วครับ...
มีต่อมั๊ยครับ สนุกมากขอบคุณครับ...
รออ่านอยูนะครับสนุกมาก...
รออ่านดูนะครับ..เมตตาลงต่อเร็วหน่อยนะคะรับ รอแบบไม่มีกวังเลยครับตอนนี้ เงียบหลายวันมากๆ ขอความเมตตาช่วยลงให้อ่านด้วยครับ...
รอตอนที่ 631 อยู่นร้า...
รอตอนต่อไป…กำลังสนุก...
สนุกมากครับขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครับของคุณครับ...
มาแล้ว630...