ฉินเหยียนชูจอกเหล้าเคารพทุกคนแล้วก็ได้ดื่มจนหมด แล้วพูดต่อว่า
“ยังคงยึดประโยคเดิม ยุทธภพไม่ใช่ที่เข่นฆ่ากัน ยุทธภพนั้นมีหลักทำนองคลองธรรม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปปล่อยวางความแค้นทั้งหมด ยิ้มเป็นมิตรกัน”
“นับตั้งแต่นี้ไป หากผู้ใดที่ทำชั่วฆ่าคน ปล้น ส่งผลกระทบต่อระเบียบ ทำให้เกิดความวุ่นวาย เรื่องราวเหล่านี้จะต้องถูกจัดในคดีของยุทธภพ และจะต้องถูกตัดสินโทษ!”
ทุกคนต่างก็เข้าใจดี ที่จริงแล้วคนส่วนใหญ่ในยุทธภพเองก็ทำเพราะไร้หนทาง ที่เรียนวิชาก็เพราะอยากมีวิชาและมีเงินมีข้าวทานเท่านั้น
แต่บัดนี้ผู้นำเฉียวได้มอบเงินให้จำนวนมากเพียงนี้แล้ว ชีวิตหลังจากนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องอีกแล้ว แล้วใครจะยอมไปมีชีวิตแบบมีศัตรูไปทั่วอีก พวกเขาต่างพยักหน้าแล้วพูดสมทบว่า
“ข้าเห็นด้วยกับความเห็นของผู้นำเฉียว!”
“ข้าเองก็เห็นด้วย!”
ผลลัพธ์ที่ทุกคนเห็นด้วยทำให้ฟางถังจิ้งตกตะลึงอย่างมาก เขาได้พูดในฐานะของไป๋เสี่ยวเซิงว่า
“ในเมื่อทุกท่านเห็นด้วยแล้ว ก็เชิญลงนามในหนังสือยุทธภพของไป๋เสี่ยวเซิงด้วย”
ทุกคนต่างก็เข้าแถวไปลงนาม
เมื่อทุกคนลงนามเสร็จแล้ว ฉินเหยียนก็พูดต่อว่า
“วันนี้ข้าได้ใช้เงินในการจัดการความแค้นของยุทธภพ ภายใต้การเป็นพยานของสามสำนักใหญ่และไป๋เสี่ยวเซิง ก็เพราะหวังว่ายุทธภพจะมีสันติสุข ตั้งแต่นี้ไปชาวยุทธอย่างเราต่อให้ไม่ทำการปล้น ก็สามารถหางานดีๆด้วยความสามารถของตนเอง และสามารถหาเงินได้มากมายเช่นกัน”
เมื่อพูดดังนั้นแล้วฉินเหยียนก็ยื่นขึ้นแล้วเดินออกไปแล้วพูดไปด้วยว่า
“มาสิ ข้าจะพาพวกเจ้าไปดู”
ทุกคนเดินตามเขาออกมา แล้วเห็นว่าในลานมีการจัดเตรียมไว้แล้ว บนป้ายไม้ที่อยู่ไม่ไกลมีเขียนไว้ชัดเจนว่า งานรับสมัครจอมยุทธ
ฉินเหยียนแนะนำกับทุกคนว่า
“นี่คืองานที่พรรคยาจกของเราเสนอให้ทุกท่าน พวกท่านสามารถไปดูก่อนได้ เพื่อหางานที่เหมาะสมกับตนเอง”
เหล่าชาวยุทธเพิ่งจะเคยเดินดูงานรับสมัครครั้งแรก ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใหม่อย่างมาก ทุกๆโต๊ะที่รับสมัครจะมีการเขียนเนื้อหาและค่าแรงเอาไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ทันที และหางานที่เหมาะสมกับตนเองได้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเจ้าอาวาสผู๋ถีจะไม่สนใจเรื่องทางโลก แต่ด้วยบรรยากาศที่ครึกครื้นนี้ จึงได้หางานที่เหมาะสมอย่างแปลกใหม่ด้วย
“นักบวชสามารถทำงานอะไรได้บ้างรึ?”
ฉินเหยียนได้ยินคำพูดนี้พอดี จึงได้รีบมาแนะนำว่า
“งานที่ท่านทำได้ คนทั่วไปไม่อาจทำได้หรอก เชิญทางนี้ท่านเจ้าอาวาส”
ฉินเหยียนได้พาเจ้าอาวาสมาถึงจุดรับสมัคร เจ้าอาวาสผู๋ถีตั้งใจมองไป พบว่าเป็นการสวดมนตร์ให้แก่เหล่าวิญญาณ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตายในวันครบรอบวันตาย ค่าตอบแทนตั้งแต่สิบตำลึงถึงหนึ่งร้อยตำลึง
ฝ่าซั่นเองก็ตั้งท่าแล้วพูดว่า “ก็เอาสิ ข้าจะได้ออกกำลังเสียด้วยเลย!”
ฉินเหยียนรู้สึกแปลกๆ จึงได้รีบเข้าไปห้ามทั้งสองว่า “ทุกท่านหยุดเถิด! ใจเย็นๆก่อน ก็แค่งานเอง ค่อยๆพูดกัน!”
ฝ่าซั่นดึงหน้าแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ท่านผู้นำเฉียว ท่านมาช่วยที ทั้งที่ข้าเห็นงานนี้ก่อนแท้ๆ!”
ปฐมคุรุสวรรค์พูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าเห็นก่อนอะไรกัน ข้าเห็นก่อนแท้ๆ อีกอย่างเหมาะกับเขาพยัคฆ์มังกรของพวกข้ามากกว่า!”
ฉินเหยียนกลัวว่าพวกเขาจะต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ จึงได้รีบพูดว่า
“อย่าได้ทะเลาะกันเลย พวกท่านทั้งสองล้วนเหมาะสมกับผู้สำรวจทางธรณีวิทยา สามารถสมัครด้วยกันได้ อย่างไรทั้งแคว้นก็กว้างใหญ่นัก งานนี้หากมีคนช่วยมากก็ยิ่งดี อีกอย่างพวกท่านฝีมือดีกันทั้งนั้น ร่วมมือกันดีกว่าไม่ใช่รึ!”
ปฐมคุรุสวรรค์และฝ่าซั่นมองหน้ากันแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่ผู้นำเฉียวพูดมีเหตุผล ทั่วทั้งใต้หล้านั้นกว้างใหญ่ คงสำรวจไม่หมด
ปฐมคุรุสวรรค์ตอบกลับอย่าเคอะเขินว่า “หากท่านพูดเช่นนี้ งั้นข้าจะฝืนใจร่วมงานกับเขาก็ได้”
ฝ่าซั่นเองก็รู้สึกตนเองเสียกิริยาไป จึงพูดอย่างเก้อเขินว่า “สุดแล้วแต่ท่านผู้นำเฉียวจะเห็นว่าดี”
เมื่อโน้มน้าวชายชราทั้งสองแล้ว ฉินเหยียนก็โล่งอก หากทั้งคู่ต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ เขาเองก็เสียหน้า จึงได้พูดว่า
“เช่นนั้นเราก็มาลงนามกันเถิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์
คนเขียนเก่งจริง ทำให้คนอ่านรู้สึกหงุดหงิดกับการตามหาลูกสาวของฉินเหยียน และจังหวะคาดที่จะได้เจอกันของเฝิงตู่กับฉินเหยียนจริงๆ ถ้าจะหากันจริงๆก็น่าจะทำง่ายป่ะ ประกาศหรือแจ้งข่าวไปว่าฮ๋องเหยียนต้องการพบปะเฝิ่งตู่นัดให้ไปเจอสักที่ตัวเองมีเครือข่ายทั่วอาณาจักรยังไงข่าวก็ต้องถึงหูอยู่แล้ว บัดเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเอาเลยพระเอกฉัน...
จบแล้วเหรอคะ ..จบแบบงงๆ...
จะมีต่อ..หรือจบแล้วครับ...
มีต่อมั๊ยครับ สนุกมากขอบคุณครับ...
รออ่านอยูนะครับสนุกมาก...
รออ่านดูนะครับ..เมตตาลงต่อเร็วหน่อยนะคะรับ รอแบบไม่มีกวังเลยครับตอนนี้ เงียบหลายวันมากๆ ขอความเมตตาช่วยลงให้อ่านด้วยครับ...
รอตอนที่ 631 อยู่นร้า...
รอตอนต่อไป…กำลังสนุก...
สนุกมากครับขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครับของคุณครับ...
มาแล้ว630...