“ในเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นก็พูดอย่างจริงใจมา ว่าทุกท่านอยากจะขายในราคาเท่าใด?”
ฉินเหยียนวางแก้วชาลงแล้วถามเสียงเรียบ
หวังจี้ตงได้ยินดังนั้นก็ดีใจ แต่ยังคงแสดงสีหน้าเคร่งเครียด เขาค่อยๆพูดขึ้นว่า
“จากที่กระหม่อมคาดการ หากอ๋องเหยียนประสงค์จะซื้อเราทั้งเจ็ดแห่ง อย่างน้อยก็ต้องใช้เจ็ดล้านตำลึงพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาพูดแล้วก็เงยหน้ากวาดตามองคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้คัดค้านอะไรก็พูดเสริมอีกว่า
“พวกกระหม่อมทั้งเจ็ด คนละหนึ่งล้านตำลึง หากอ๋องเหยียนทรงเห็นว่าราคานี้แพง ก็สามารถหารือก่อนก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เขาแอบดีใจ คนละหนึ่งล้านตำลึง เมื่อได้มาแล้วจะนำไปทำธุรกิจอะไร ก็เป็นเรื่องง่ายๆแล้ว
ฉินอวี่ที่อยู่ข้างๆได้ยินราคานี้ก็แทบจะโกรธจนอกระเบิด เขาไม่คิดว่าเจ้าพวกนี้จะฉวยโอกาสเอาเปรียบ น่าเกลียดเกินไปแล้ว เดิมทีเจรจาเพียงสองล้านตำลึง แต่เอ่ยว่าต้องการห้าล้านตำลึงไม่พอ สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเจ็ดล้านตำลึงในพริบตา คนพวกนี้ช่างน่ารังเกียจเสียจริง
ฉินอวี่คิดจะพูดอะไร แต่เมื่อเห็นว่าฉินเหยียนสีหน้าสงบนิ่งแล้วก็เงียบไป เขารู้นิสัยของฉินเหยียนดี จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
“หือ? เจ็ดล้านตำลึงรึ?” เมื่อฉินเหยียนได้ยินคำพูดของหวังจี้ตงแล้วก็ยิ้มออกมากอย่างประหลาด เขาแสร้งยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะพูดความจริงให้ฟัง อู่ต่อเรือหลวงนี้ข้าจะต้องทำให้ได้ หากพวกเจ้าทั้งเจ็ดมีความสามารถมากพอกับราคานี้ เรื่องเงินก็ไม่ใช่ปัญหา”
หวังจี้ตงได้ยินดังนั้นก็ดีใจทันที เขารีบยืนขึ้นแล้วประสานมือคารวะพูดว่า
“ได้ยินมาว่าอ๋องเหยียนใจกว้างยิ่งนัก เมื่อได้มาเห็นเองแล้วก็สมกับคำร่ำลือเสียจริงพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องความสามารถการสร้างเรือของอู่ต่อเรือของเราทั้งเจ็ดนั้น อ๋องเหยียนโปรดวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากแม้แต่เราทั้งเจ็ดยังไม่มีกำลัง เช่นนั้นทั้งเก้าแคว้นนี้ก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของเขากำลังยกยอพวกเขาเอง และอยากให้ฉินเหยียนรู้ว่าพวกเขามีการผูกขาดในด้านการต่อเรือ
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” คนอื่นๆเองก็พากันสมทบ
เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว ทุกคนในห้องโถงนอกจากฉินอวี่ ก็แสดงสีหน้าที่ภูมิใจ แล้วมองฉินเหยียนด้วยสายตาที่เร่าร้อน เจ็ดล้านตำลึง พวกเขาต่อเรือเอาเป็นเอาตายหลายสิบปี ก็ไม่มีกำไรมากเพียงนี้
ฉินเหยียนยกชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็พูดอย่างมีเหตุผลว่า
“เช่นนั้นก็ย่อมได้ เจ็ดล้านตำลึงก็เจ็ดล้านตำลึง แต่ข้าเองก็ต้องเห็นก่อนว่าพวกเจ้ามีความสามารถการต่อเรือเป็นอย่างไรบ้าง เอาเช่นนี้ละกัน ภายในสามวัน พวกเจ้าแล่นเรือมาจอดที่ใกล้ๆเซียนตู ข้าจะดูคุณภาพเรือที่พวกเจ้าสร้าง”
“ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ” หวังจี้ตงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล นี่มันเรื่องกล้วยๆ
คนอื่นๆเองก็พยักหน้าตอบตกลง
“อย่าได้ใจไปก่อนนักเลย เงินพวกนี้ยังไม่เข้ากระเป๋าเลย” เสิ่นเฟยขมวดคิ้วพูดเตือนขึ้นว่า “เรือที่เราลากมา หากอ๋องเหยียนไม่พอพระทัย ทุกอย่างก็จบ!”
เมื่อคนอื่นๆได้ยินดังนั้นก็หุบยิ้มไป เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเฟยได้พูดตรงจุด
หวังจี้ตงทำเสียงเย็นชาแล้วประชดว่า “จะกลัวอะไร? เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว ที่จริงมันได้จบลงแล้ว เรือที่เราต่อขึ้นมาจะต้องทำให้อ๋องเหยียนตกตะลึงมากแน่นอน อย่างไรแล้วนอกจากพวกเรา ก็ไม่มีใครที่สามารถสร้างเรือใหญ่กว่าสิบจั้งได้แล้ว”
“ใช่แล้ว อ๋องเหยียนมีเงินมหาศาล ต้องหวังให้ต่อเรือรบที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเป็นแน่”
ชายวัยกลางคนอีกคนพยักหน้าแล้วพูดสมทบว่า “ขอเพียงพวกเราทำได้ดีมากพอ ก็จะทำให้อ๋องเหยียนเปลี่ยนมุมมองใหม่ คาดว่าทุกอย่างสามารถสรุปได้ในทันทีเชียวล่ะ!”
“นั่นสิ ใช่แล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราทุกคนจะได้คนละหนึ่งล้านตำลึง จากนั้นก็นำไปลงทุนในวิสาหกิจ ขายอีกอย่างซื้ออีกอย่าง แถมยังได้ทำความรู้จักอีก ในอนาคตก็จะพุ่งทะยานไปจุดสูงสุดได้เลย”
คนอื่นๆได้ยินแล้วก็พากันหารืออย่างดีอกดีใจขึ้นมา
เสิ่นเฟยกลับยังคงขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงเรียบว่า “ข้าว่าพวกเจ้าคงเห็นคนอื่นๆเป็นคนโง่ไปหมด ในโลกนี้จะมีเรื่องดีๆเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็หยุดยิ้มไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์
คนเขียนเก่งจริง ทำให้คนอ่านรู้สึกหงุดหงิดกับการตามหาลูกสาวของฉินเหยียน และจังหวะคาดที่จะได้เจอกันของเฝิงตู่กับฉินเหยียนจริงๆ ถ้าจะหากันจริงๆก็น่าจะทำง่ายป่ะ ประกาศหรือแจ้งข่าวไปว่าฮ๋องเหยียนต้องการพบปะเฝิ่งตู่นัดให้ไปเจอสักที่ตัวเองมีเครือข่ายทั่วอาณาจักรยังไงข่าวก็ต้องถึงหูอยู่แล้ว บัดเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเอาเลยพระเอกฉัน...
จบแล้วเหรอคะ ..จบแบบงงๆ...
จะมีต่อ..หรือจบแล้วครับ...
มีต่อมั๊ยครับ สนุกมากขอบคุณครับ...
รออ่านอยูนะครับสนุกมาก...
รออ่านดูนะครับ..เมตตาลงต่อเร็วหน่อยนะคะรับ รอแบบไม่มีกวังเลยครับตอนนี้ เงียบหลายวันมากๆ ขอความเมตตาช่วยลงให้อ่านด้วยครับ...
รอตอนที่ 631 อยู่นร้า...
รอตอนต่อไป…กำลังสนุก...
สนุกมากครับขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครับของคุณครับ...
มาแล้ว630...