“ การประนีประนอม?”
"ใช่ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกยุติธรรม อีกอย่าง ยังได้พักสักแปปด้วย พวกเราก็คงยืนอยู่จุดนี้ตลอดไปไม่ไหวหรอก"
เสี่ยวอวี้หลินจ้องไปที่พี่หกแล้วพูดว่า: "แค่ส่งเซี่ยอันนามา อย่างอื่น ฉันไม่คัดค้านอะไร”
แต่พี่หกไม่ได้สนใจเสี่ยวอวี้หลิน พูดอย่างเฉยเมยว่า: "เธอเป็นไพ่เหนือสุดในมือฉัน ฉันจะส่งไพ่ใบนี้ให้แกได้ยังไง?"
“ ถ้าอย่างงั้นก็ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว? หึ รอให้ฉันทุบมันให้ปานตายก่อน ดูว่ามันจะอ้าปากพูดไหม!”
"ฉันมีวิธีที่ดีกว่านี้ พวกคุณลองมาฟังดู"
เมื่อต้องเผชิญกับความแข็งแกร่งของพี่หก เสี่ยวอวี้หลินไม่มีความหวังอีกต่อไปและรู้สึกได้ว่าหมัดของใครหนักกว่า
แต่เพราะใบหน้าของต้วนอีเหยา เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ ทำได้เพียงแอบเตรียมคำนวณและจะเริ่มจากตรงไหนก่อน
"ให้ฉันได้เจอกับอันนาและติดต่อกับโลกภายนอกได้ตลอดเวลา"
เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมา ทุกคนก็ตกใจรวมถึงพี่หกด้วย
เมื่อมองไปที่ต้วนอีเหยาด้วยความน่าไม่เชื่อ มู่ยู่วฉีพูดขึ้นว่า "อีเหยา เธอบ้าไปแล้วหรอ! พวกเราคนหนึ่งได้ตกอยู่ในมือของผู้ชายคนนี้เป็นตัวประกัน ตอนนี้เธอยังจะโยนตัวเองเข้าไปในกับดักมันอีกหรอก็เป็นการเพิ่มตัวต่อรองให้มันสิ?”
"ตัวประกัน คนนึงหรือสองคนก็ไม่มีความแตกต่าง ถ้าฉันไป ก็ยังช่วยดูแลอันนาได้ พวกเธอก็จะได้วางใจลงบ้าง"
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วและถามว่า "แล้วเธอล่ะ ฉันจะสบายใจได้ยังไง?”
ต้วนอีเหยาลดเสียงลงและพูดกับเย่จิงเหยียน: "คนที่เขาต้องการจัดการคือคนในตระกูลของเธอ ฉันเป็นคนนอก เขาไม่เสียเวลากับฉันหรอก พวกเธอก็ใช้โอกาสนี้หาจุดประสงค์ของพี่หก ถึงจะหาวิธีจัดการได้ และช่วยอันนาออกมา”
“ ไม่ได้ มันอันตรายเกินไป”
"ถึงฉันไม่ไป เรื่องนี้ก็ไม่อันตรายงั้นหรอ? ผู้ชายคนนี้อันตรายมากและการปรากฏตัวของเขาจะทำให้ตระกูลเย่ตกอยู่ในภาวะวิกฤต จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ เราต้องใช้โอกาสนี้เผยความจริงออกมา!”
"แบบนั้นก็ให้ฉันออกไปเผชิญหน้า ไม่ใช่ให้เธอออกไปเจออันตราย"
“ เรื่องแบบนี้ ใครสะดวกกว่าก็ทำได้ ไม่ว่ากัน”
เย่จิงเหยียนยังอยากพูดต่อ แต่ต้วนอีเหยาหยุดเขาทันทีและพูดว่า: "เอาล่ะ จิงเหยียน เรื่องนี้ยิ่งอยู่ยิ่งร้ายแรงขึ้น ยังไง เธอก็ต้องเชื่อในตัวฉัน ต่อให้จะเป็นลมพายุลูกใหญ่แค่ไหน เรื่องแค่นี้ ฉันเอาอยู่”
เย่จิงเหยียนจ้องที่ต้วนอีเหยา ยังคงปฏิเสธอยู่ในใจ
พี่หกไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอตัวของต้วนอีเหยา แต่เมื่อเขาเห็นสายตาที่ไม่เต็มใจของเย่จิงเหยียน เขาก็เปลี่ยนใจทันที
"เฮ้อ พวกแกตกลงกันได้หรือยัง?"
ต้วนอีเหยาหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า: "ตกลงเสร็จแล้ว นี่คือวิธีของเรา คุณตกลงไหม?"
พี่หกยักไหล่และพูดด้วยรอยยิ้ม: "ถ้ามีคนโยนตัวเข้าไปในตาข่าย ฉันจะปฏิเสธลงได้ไง"
"ดีเลย งั้น ตอนนี้ฉันไปได้หรือยัง?"
"แน่นอน"
คนอื่นๆพยายามเกลี้ยกล่อมต้วนอีเหยาอีกครั้ง แต่ต้วนอีเหยาปฏิเสธพวกเขา
ต้วนอีเหยาเป็นผู้หญิงที่รอบคอบมาก เมื่อเธอตัดสินใจอะไรแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ
“ ไม่ต้องห่วง คราวนี้ฉันจะพาอันนากลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
ต้วนอีเหยามองไปรอบๆผู้คน จากนั้นก็เดินตามพี่หกออกไป
จังหวะที่ต้วนอีเหยากำลังเดินผ่านเย่จิงเหยียน เย่จิงเหยียนก็เอื้อมมือออกไปและจับมือเธอไว้
ต้วนอีเหยาบีบมือของเย่จิงเหยียน ต้วนอีเหยายิ้มจากนั้นค่อยๆดึงมือออกและจากไปโดยไม่หันกลับมามองและในที่สุดก็หายไปจากสายตาของทุกคน
มู่ยู่วฉียกมือขึ้นและกระแทกกับราวบันไดอย่างโมโห : "นี่มันหมายความว่าอะไรเนี่ย เราเป็นคนเรียกพี่หกมาที่นี่เอง แล้วทำไมถึงยังปล่อยให้มันเอาต้วยอีเหยาไปได้!?"
เย่ชวูเสวียนั่งอยู่บนโซฟาอย่างเหม่อลอย ขมวดคิ้วและพูดว่า: "ไม่ต้องพูดแล้ว"
“ แต่ฉันไม่พอใจ เรื่องทั้งหมดมันไม่ควรเป็นแบบนี้!”
"แล้วแกคิดว่าเรื่องมันควรเป็นยังไง?"
"จับตัวพี่หก ทรมานเขาอย่างรุนแรงและบังคับให้เขาพูดออกมาว่าอันนาอยู่ไหน"
เย่ชวูเสวียส่ายหัวแล้วพูดว่า "ถ้าเรื่องมันง่ายอย่างที่พูด เราจะยอมให้พี่หกพาต้วนอีเหยาไปหรอ?"
"ต่อให้อีเหยาจะเก่งแค่ไหน แต่เธอถูกพี่หกพาตัว เธอจะถูกขังไว้ไม่มีโอกาสได้ใช้ฝีมือเธอหรอก"
เย่จิงเหยียนเปิดปากของเขาอย่างแหบแห้งและพูดว่า: "อีเหยาไปเพราะ หนึ่งเพื่อช่วยอันนา ต้องไม่ถูกพี่หกรังแก สอง มันก็เป็นสัญญาเช่นกัน"
“ สัญญาอะไร?”
"ให้พี่หกได้เจอกับผู้ใหญ่ตระกูลเย่และพูดคุยเกี่ยวกับความคับข้องใจของพวกเขา"
ทันใดนั้นมู่ยู่วฉีก็พูดขึ้นว่า "ที่แท้นี่ก็เป็นแผนของอีเหยา อัยยะ เธอมีเจตดาดีจริงๆ"
ต้วนอีเหยามีเจตนาดีอย่างแท้จริง แต่ยิ่งเธอเป็นแบบนี้มากเท่าไหร่เย่จิงเหยียนยิ่งทุกข์ใจมากเท่านั้น
เมื่อกี้เขาอยากคัดค้านมาก ไม่อยากให้ต้วนอีเหยาไป
แต่ต้วนอีเหยาไม่ฟังเขาเลย ทั้งสองคุ้นเคยกันมาก เพราะงั้นต้วนอีเหยาจึงไม่พูดด้วย ตัดสินใจด้วยตัวเอง
สุดท้าย เขาก็เป็นหนี้ต้วนอีเหยา
......
ต้วนอีเหยาถูกปิดตาและผลักเข้าไปในรถ
ในระหว่างทาง ต้วนอีเหยาไม่ได้พูดอะไรสักคำ
แต่พฤติกรรมของเธอดึงดูดการเยาะเย้ยของพี่หกมาก
“แกอย่าเสียเวลาจำทางเลย ฉันจงใจขับอ้อม แกไม่มีทางจำได้หรอก”
พี่หกพูดถูก เขาให้ลูกน้องขับรถเป็นวงกลมวนในตลาดสักพักแล้วขับผ่านซากปรักหักพังที่รกร้าง และขับวกไปวนมา
ต้วนอีเหยาถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอก็ถอดใจเรื่องจะจำทาง
แต่เธอก็ยังไม่พูดเพราะเธอมีสิ่งที่สำคัญกว่าที่ต้องคิด
พี่หกไม่สนใจเธอ ตราบใดที่มีคนยังอยู่ในมือเขา ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่มีทางหนีออกไปได้
ถนนทั้งสองด้านเริ่มแห้งแล้งมากขึ้น ต้วนอีเหยายังรู้สึกได้ถึงทรายที่กระทบใบหน้า
เมื่อต้วนอีเหยากำลังคิดอยู่ รถก็เริ่มหมุนวนขึ้น ราวกับว่ากำลังแล่นอยู่ถนนบนภูเขา
หลังจากนั้นรถก็หยุด มีคนเปิดประตูแล้วพาต้วนอีเหยาออกไป
เมื่อเข้าไปถึงในประตู หน้ากากที่ปิดตาเธอก็ถูกเอาออก
แสงพราวต่อหน้าเธอ ทำให้ต้วนอีเหยาเหล่และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
เธอมองไปรอบๆ พบว่าสถานที่ที่พี่หกซ่อนตัวอยู่นั้นแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้
ที่นี่เหมือนสไตล์โบราณ ตั้งแต่การตกแต่งไปจนถึงการจัดวางนั้นดูหรูหรามาก ไม่เหมือนกับความชอบของคนชั่วเลย แต่ก็เหมือนกับนักวิชาการที่ใฝ่รู้และมีความคิด
ขณะที่คนหนึ่งกำลังรินน้ำชาให้ต้วนอีเหยา พี่หกก็หัวเราะและพูดว่า: "เธอลองสำรวจดูรอบๆได้นะ ที่นี่คือที่ที่เธอต้องอยู่ไปอีกนาน”
ต้วนอีเหยาส่งเสียงตอบรับอย่างเย็นชา
"เป็นแบบนั้นจริงๆ"
เมื่อคิดว่ามันเป็นเพราะตัวเธอเองที่ทำให้เรื่องซับซ้อน เซี่ยอันนารู้สึกเสียใจมากและเธอก้มศีรษะลงพร้อมพูดว่า "เฮ้อ ฉันทำให้ทุกคนต้องลำบาก ฉันนี่มันโง่จริงๆ!"
“ อย่าไปคิดแบบนั้นเลย พี่หกแข็งแกร่งมาก นับประสาอะไรกับเธอ ต่อให้เป็นพวกเราเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขาก็มีโอกาสน้อยมากที่จะเอาชนะได้ ดังนั้นอย่าโทษตัวเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องของตระกูลเย่อถ้าเธอเป็นอะไรไป ตระกูลเย่ต้องรู้สึกผิดกับเธอมากแน่ๆ”
เซี่ยอันนาโบกมืออย่างรีบร้อนและพูดว่า "อย่าพูดแบบนี้เลย"
"เอาล่ะ ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก เดี๋ยวฉันจะบอกแผนการให้ ต้องให้เธอช่วยด้วย"
"อืม ถ้าฉันช่วยได้ ฉันจะช่วยอย่างเต็มที่ ว่าแต่ ชูเสวียล่ะ เธอสบายดีไหม?"
"เธอสบายดี ไม่ได้ถูกทำร้าย แถมดูเหมือนว่าจะอ้วนขึ้นนิดหน่อย"
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ เซี่ยอันนาก็มีหน้าตาแปลกๆบนใบหน้าของเธอ
“ พี่หกคนนี้ประหลาดจริงๆ ดูภายนอกเหมือนอยากจะฆ่าคนตระกูลเย่ แต่เมื่อมองความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่เคยทำร้ายพวกเขาเลย”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ต้วนอีเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าต้วนอีเหยาหยุดพูด เซี่ยอันนาจึงถามว่า: “พี่อีเหยา เป็นอะไรไปหรอ?"
"ไม่มีอะไร จู่ๆก็คิดถึงความเป็นไปได้ขึ้นมา"
“ ความเป็นไปได้อะไร?”
"ก็แค่......" ต้วนอีเหยายังพูดไม่จบ คิดว่ามันไร้สาระเกินไป เธอหัวเราะออกมาและส่ายหัว: "มันไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่คิดเล่นๆ"
เมื่อเห็นว่าต้วนอีเหยาไม่อยากพูด เซี่ยอันนาก็ไม่ได้ถามต่อ
เธอนั่งข้างๆต้วนอีเหยา มองไปทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุดนอกหน้าต่าง เธอรู้สึกเสมอว่าการออกจากที่นี่นั้นยากกว่าการปีนขึ้นฟ้าซะอีก
แต่เธอต้องอดทน เธอยังไม่ได้เป็นเจ้าสาวที่ดีที่สุดของเสี่ยวอวี้หลิน ยังไม่ได้ใช้ชีวิตที่สวยงาม เธอจะมาจบและท้อแท้อยู่สถานที่แบบนี้ได้ยังไงกัน?
หลังจากหายใจเข้าลึกๆ เซี่ยอันนาก็หันไปมองต้วนอีเหยาและถามว่า: "พี่อีเหยา แล้วเราจะทำยังไงต่อไป?"
ต้วนอีเหยายิ้มแล้วกระซิบบางอย่างที่หูข้างหูเซี่ยอันนา
เซี่ยอันนาฟังต้วนอีเหยาโดยไม่พลาดสักคำ จากนั้นมองไปที่ต้วนอีเหยาด้วยความประหลาดใจและถามว่า "มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?"
"ใช่ ง่ายๆแบบนี้เลย"
เซี่ยอันนาอยากถามอะไรมากกว่านี้ แต่ต้วนอีเหยายื่นมือมาปิดปากของเธอ และทำท่าทีนิ่งเฉย
ไม่มีทาง เซี่ยอันนาทำได้แค่เก็บความสงสัยไว้ในใจ มองไปที่ต้วนอีเหยาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความสับสน
ต้วนอีเหยายิ้มให้เซี่ยอันนา ก็ทำให้เซี่ยอันนารู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
แม้ว่าพวกเธอจะถูกจับขังไว้ แต่พวกเธอก็ได้ใช้ชีวิตและกินอาหารอย่างหรูหรา
มองไปที่อาหารตรงหน้า ต้วนอีเหยาก็เอียงศีรษะและถามคนส่งอาหารว่า "เจ้านายของแกกินข้าวที่ไหน?"
“ ถามทำไม?”
“ ฉันอยากจะขอบคุณเขาเป็นการส่วนตัวสำหรับการต้อนรับ”
นี่มันเป็นข้ออ้างแบบไหนกัน?
เขาไม่อยากสนใจต้วนอีเหยา แต่จู่ๆต้วนอีเหยาก็คว้าปืนจากเอวของเขา แล้วเล็งไปที่ขมับของเขา
การเคลื่อนไหวนี้เร็วมาก ยังไม่ทันตั้งสติชีวิตก็เกือบถูกคนอื่นเอาไปแล้ว
เขาตอบอย่างตัวสั่นว่า: "ต่อให้พวกแกจะฆ่าฉัน ก็ไม่มีทางหนีออกไปจากที่นี่ได้หรอก!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...