หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้น
เฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร
ทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลย
ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรี
ในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้
เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูก
เฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศาจ=เยาเนี่ย ใช้กล่าวถึงคนที่มีหน้าตางดงาม/หล่อเหลาราวกับปีศาจจำแลงกายมา]
ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือออร่อที่เปล่งประกายของเขา หากอยู่ในวงการบันเทิงเมื่อชาติที่แล้วละก็ จะต้องถีบดารานักแสดงชั้นนำทั้งหลายจนตกกระป๋อง และช่วงชิงหัวใจของสาวๆ ได้ภายในเสี้ยววินาที
ภาพลักษณ์ของเขาดูเป็นคนอบอุ่นมากเกินไป ขัดกับบทบาทตัวร้ายอย่างสิ้นเชิง
เรื่องราวที่ผิดวิสัยเช่นนี้ จะต้องมีอะไรในก่อไผ่แน่นอน นางจึงตั้งท่าระแวงไว้ก่อน
จิ่งโม่เยี่ยใช้สายตาไล่มองคนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างช้าๆ ทว่าทุกคนที่โดนสายตาของเขากวาดผ่าน กลับรู้สึกสราญใจดังต้องสายลมในยามวสันต์
จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดที่เฟิ่งชูอิ่ง นางก็รีบก้มหน้างุดลงทันที ก่อนจะกลาวอย่างขัดเขินว่า “ท่านอ๋องย่อมมิใช่คนขี้โรคเพคะ
“ในสายตาของข้า ท่านอ๋องเป็นดั่งเทวดาบนสรวงสวรรค์”
จิ่งโม่เยี่ยมองนางและกล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร?”
เฟิ่งชูอิ่งก้มหน้าตอบกลับ “ข้าคือว่าที่พระชายาของท่านอ๋อง เฟิ่งชูอิ่งเพคะ”
ดวงตาดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ยเหลือบขึ้นเล็กน้อย ยกพัดด้ามจิ้วในมือเชยปลายคางของนาง จนนางต้องแหงนหน้าขึ้นมามองเขา
ยามนี้ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก เพียงเฟิ่งชูอิ่งเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นนัยน์ดำขลับทั้งสองของเขาทันที ทำเอานางตัวแข็งไปครู่หนึ่ง
แม้ใบหน้าเขาจะยิ้มแย้ม แต่ดวงตาของเขากลับเย็นเยียบเหมือนสวนร้างที่ถูกแช่แข็งมาหลายพันปี สัมผัสความอบอุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว
นางเผลอตรวจโหงวเฮ้งของเขาอย่างลืมตัว แต่กลับพบว่าทั้งตัวของเขาเหมือนภูเขาหิมะที่มีน้ำแข็งปกคลุมหมื่นลี้ จนมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง
เพียงแต่จุดระหว่างคิ้วของเขามีไอสีดำประหลาดล่องลอยออกมา ดูแปลกพิกลอย่างมาก
ในใจของนางรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายได้ จึงเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากลับได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นเสียก่อน “อัปลักษณ์จริง”
เฟิ่งชูอิ่ง “......”
ชาติก่อนนางถูกเรียกว่าสาวงามอันดับหนึ่งของวงการศาสตร์ลี้ลับเลยนะ จะอัปลักษณ์ได้อย่างไร?
เขากล่าวจบก็หันไปถามเฉินเยี่ยนเซิง “แล้วเจ้าเป็นใคร?”
ตอนแรกเฉินเยี่ยนเซิงยังนึกกลัวฐานะของจิ่งโม่เยี่ยอยู่บ้าง แต่เมื่อได้เห็นท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนของเขา ความกลัวก็มลายหายทันที
ความคิดชั่วร้ายพลันผุดขึ้นในใจ เขาแสยะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าคือเฉินเยี่ยนเซิง คนรักของเฟิ่งชูอิ่ง ว่าที่พระชายาของท่านอย่างไรละ
“นางรังเกียจเดียดฉันท์ท่านอ๋อง ก็เลยหอบสมบัติทั้งหมดมาที่นี่เพื่อหนีตามข้า
“อย่างไรเสียพระวรกายของท่านอ๋องก็ไม่ค่อยดี แล้วยังคิดว่าเฟิ่งชูอิ่งอัปลักษณ์อีก มิสู้ยกนางให้ข้าเล่า?”
เฟิ่งชูอิ่งหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เจ้าบุรุษปากปีจอคนนี้อยากตายก็แล้วไปเถิด แต่อย่าลากนางไปเอี่ยวได้ไหมเล่า!
จิ่งโม่เยี่ยแย้มยิ้มอ่อนโยน ใช้ดวงตาดอกท้อมองไปทางเฟิ่งชูอิ่ง
นางรู้สึกราวกับตกลงไปในเหวน้ำแข็ง รีบอธิบายทันที “ท่านอ๋องอย่าไปฟังเรื่องเหลวไหลของเขานะเพคะ มันไม่เคยมีเรื่องหนีตามกันอะไรทั้งนั้น!”
“ตั้งแต่ข้าทราบว่าจะได้แต่งงานกับท่านอ๋อง ข้าก็ดีใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรเลยเพคะ!”
จิ่งโม่เยี่ยเลิกคิ้วโก่งเล็กน้อย “งั้นหรือ?”
หลินหว่านถิงกระชากย่ามสะพายของเฟิ่งชูอิ่งคล้ายไม่ได้ตั้งใจ ก้อนตำลึงเงินและเครื่องประดับมีค่าทั้งหมดจึงร่วงลงมา
เฟิ่งชูอิ่ง “......”
นางมองออกแล้วละ หลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงคิดจะฆ่านางให้ตาย
ของมีค่าพวกนี้เป็นสมบัติที่นางขนมาเพื่อหนีตามชายชู้จริงๆ นางควรจะอธิบายอย่างไรดีล่ะ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี