………………..
เดิมทีหรงซิวต้องการลิ้มรสมันเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ริมฝีปากของนางอ่อนนุ่มและหวานเกินไป จนทำให้เขาลืมถอนตัวออกมา
หลังจากดูดดุนซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง จนได้ยินเสียงหอบหายใจของนาง เขาจึงควบคุมตัวเองแล้วหยุดการกระทำนี้ลง
เขาเอียงศีรษะออกเล็กน้อยก่อนจะวางศีรษะบนไหล่ของนาง
ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบเข้ากับลำคออันเพรียวระหงของนาง ทำให้นางรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย
มือที่กุมเอวบางของนางก็เหมือนจะกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม
ร่างกายของเขาตึงเกร็ง จากนั้นก็โน้มตัวพิงนางครึ่งร่าง หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วหัวเราะเสียงต่ำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ข้านี่ทำตัวเองแท้ๆ …”
เขาคิดว่าการควบคุมตนเองเป็นความสามารถพิเศษที่เขาภาคภูมิใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางแล้ว เขาก็มักจะพ่ายแพ้อยู่เสมอ
แก้มของฉู่หลิวเยว่เห่อร้อนขึ้นมา
“ฝ่าบาท ท่านนี่ใจใหญ่จริงเชียว ในเวลาแบบนี้ยังจะคิดเรื่องเหล่านี้อีก?”
หรงซิวหันใบหน้ากลับคืนมา จากนั้นก็ใช้ริมฝีปากบางปัดไปมาที่แก้มระเรื่อของนางอย่างแผ่วเบา
ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบที่ข้างหูของเขา ฉู่หลิวเยว่สามารถได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยจากรอบข้างได้
เสียงของกดจนต่ำที่สุด เขาพูดด้วยน้ำเสียงด้วยยั่วเย้า ใจกว้าง และอ่อนโยนว่า
“…ตั้งแต่เจ้าออกมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงจนถึงตอนนี้ เวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว…หากข้าพูดว่าไม่คิดเกรงว่าจะเป็นเรื่องโกหกแล้ว”
น้ำเสียงของเขาแหบพร่า กอปรกับลมหายใจที่อุ่นร้อน จึงทำให้ผู้คนหน้าแดงใจเต้นระรัวขึ้นอย่างง่ายดาย
คำพูดของเขาตรงไปตรงมา และยังแฝงด้วยความคับข้องใจหลายส่วน แต่ในทางกลับกันฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างใดดี
นางยื่นมือออกมาแล้วจิ้มไปที่หน้าอกกว้างและแข็งแกร่งของเขา ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“ในที่ที่อันตรายเช่นนี้ ฝ่าบาทควรจะระมัดระวังตัวเอาก่อนจะดีกว่า”
โดยความสามารถแยกความปั่นป่วนที่บ้าคลั่งออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ภายในมิติที่ทั้งสองคนอาศัยอยู่มันแทบจะมีเพียงความสงบนิ่งเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งสองเป็นกังวลก็คือ…ตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะไปที่ใด
ฉู่หลิวเยว่พูด
“ก่อนหน้านี้องค์ไท่จู่เคยพูดไว้ว่า เมื่อพันปีที่แล้วเขาถูกส่งไปยังบุพกาลชายแดนเหนือได้โดยตรง ไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกเรา…จะถูกส่งไปที่ใด”
หรงซิวหัวเราะขึ้นมา
แสงสว่างจางๆ ส่องสะท้อนเข้าที่ใบหน้าของเขา แสงนั้นสะท้อนออกมาได้เพียงความสูงศักดิ์ของเขาเท่านั้น
“อาจจะเป็นที่สักแห่งในอาณาจักรเสิ่นซวี่”
น้ำเสียงผ่อนคลาย ท่าทางเมินเฉยอยู่หลายส่วน
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินน้ำเสียงของเขาแล้ว จึงหันไปมองหน้าเขาอย่างอดไม่ได้
“จริงสิ มีเรื่องบางอย่างที่ข้าลืมถามเจ้ามาโดยตลอด”
หรงซิวพยักหน้า
“เจ้าถามมาสิ”
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากแน่น
“ตำแหน่งของตระกูลหนานในอาณาจักรเสิ่นซวี่ น่าจะสูงกว่าพระราชวังเมฆาสวรรค์ใช่หรือไม่? แต่เมื่อหนานอีฝานเห็นหน้าเจ้า เหตุใดถึง…”
นางชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะใช้คำไหนมาพรรณนาถึงจะเหมาะสมถูกต้องที่สุด
“สิ่งที่เจ้าอยากถามคือ เหตุใดหนานอีฝานถึงกลัวข้าขนาดนี้ใช่หรือไม่?”
หรงซิวยิ้มแล้วต่อประโยคของนาง
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
หวาดกลัว…
หลังจากหนานอีอีและคนอื่นๆ รับรู้ถึงฐานะและตำแหน่งของหรงซิวแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เห็นหรงซิวอยู่ในสายตาเลย ตั้งแต่ต้นจนจบยังคงทำท่าทีหยิ่งผยอง เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจในตระกูลหนานของตนเองเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าหลังจากหนานอีฝานที่เป็นประมุขของตระกูลหนานเจอหรงซิวแล้ว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีไปในทันที
ต่อมาไม่เพียงจะยอมกล้ำกลืนความโกรธแล้วก้มหัวกล่าวขอโทษ แม้กระทั่งหรงซิวลงมือตัดลิ้นของหนานอีอีต่อสายตาของทุกคน เขาก็ยังอดทนอดกลั้นมันลงไป
ถ้านี่ไม่ใช่การหวาดกลัวหรงซิว เช่นนั้นนางก็โดนผีหลอกแล้ว
แต่…
มันเหตุใดกัน?
หรงซิวคือโอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ ตอนนี้เขามีอำนาจมากมายในมือ ฐานะสูงส่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...