ขนตาของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวเบาๆ เปลือกตาบางเปิดขึ้นแล้วตวัดตามองเขา
“ยังไม่ได้เจอเลย มีอันใดหรือไม่?”
“แคกๆ เปล่า ไม่มีอันใด แค่… ถามเฉยๆ”
เจี่ยนเฟิงฉือกำหมัดแน่นแล้วยกขึ้นทับริมฝีปาก กระแอมไอแก้เก้อ
“ข้าจำได้ว่าเจ้ากับมู่ชิงเห่อมีความสัมพันธ์ต่อกันที่ไม่เลวเลยใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว พลางถามย้อน
เจี่ยนเฟิงฉือแอบเบะปากในใจ ยามนางพูดกับมู่หงอวี่นั้นแทนตัวว่า “ข้า” ด้วยน้ำเสียงสนิทสนม
แต่เวลาอ้าปากพูดกับเขา นางกลับเน้นย้ำคำว่า “ข้า” เสียหนักแน่น นี่กลัวเขาลืมสถานะของนางในปัจจุบันหรือไร?
ก่อนหน้านี้เขาได้ช่วยเหลือนางไว้หลายเรื่อง ไฉนตอนนี้นางถึงปฏิบัติต่อเขาต่างไปจากเดิมเล่า?
แต่เขาก็ไม่กล้าพูดมันออกไปตรงๆ
“ฝ่าบาทจำผิดแล้ว”
เจี่ยนเฟิงฉือเบนสายตาไปทางอื่น พร้อมสายตาที่ดูคลุมเครือ
“ในอดีตความสัมพันธ์ของพวกข้าเป็นเช่นไร ฝ่าบาทเองก็รู้ดีมิใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่กระตุกยิ้มมุมปาก
“ใช่แล้ว ข้ายังจำได้ดีเลย ตอนนั้นมารดาของมู่หงอวี่ล้มป่วย และมู่ชิงเห่อก็ขอให้เจ้าไปช่วยเขาที่แคว้นเย่าเฉิน
หากสองคนนี้ไร้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีต่อกันจริงๆ ล่ะ คนอย่างเจี่ยนเฟิงฉือจะวิ่งแจ้นไปช่วยดูคนป่วยให้เขาถึงที่หรือ?
จากนั้นมู่ชิงเห่อก็มอบความไว้วางใจให้เจี่ยนเฟิงฉือ โดยการให้เขาเป็นคนพานางกลับมาที่ซีหลิง
หากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าสองคนนี้ติดต่อกันเป็นการส่วนตัวอยู่บ่อยครั้ง และชัดเจนว่าพวกเขาไว้วางใจซึ่งกันและกันมาก
ถ้าจะมาปัดว่าพวกเขาเกลียดกันเอาตอนนี้ ก็สายเกินไปแล้ว
สีหน้าของเจี่ยนเฟิงฉือชะงักแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง
นี่เขาลืมไปได้อย่างใดกันว่าฉู่หลิวเยว่เองก็รู้เรื่องเหล่านั้นทั้งหมด แถมยังจำมันได้ไม่ลืมอีก!
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถปฏิเสธได้ เจี่ยนเฟิงฉือจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดงึมงำว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทยืนกรานเช่นนี้… ความจริงก็ถูกอย่างที่ท่านพูดนั่นแหละ… อย่างใดเสียมู่ชิงเห่อก็เป็นถึงรองแม่ทัพของกองกำลังทหารม้าทมิฬ สถานะของเขาไม่ได้ต่ำต้อยเรี่ยดินและมีอำนาจมากมาย การที่ท่านชายผู้สูงศักดิ์อย่างข้าจะติดต่อกับเขาบ่อยๆ นั้นย่อมเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่อมยิ้ม
ถ้าเจี่ยนเฟิงฉือไม่พูดคำเหล่านี้ออกมาคงจะดีเสียกว่า แต่การที่เขาพูดแบบนี้ ยิ่งทำให้เห็นว่าเขากำลังร้อนตัวมากเพียงใด
นางพูดต่อช้าๆ
“อ่อ เป็นเช่นนี้นี่เอง… แต่ย้อนกลับไปตอนนั้น ข้าเองก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ สถานะและอำนาจของข้าย่อมสูงส่งกว่าเขา ทว่าเจ้าก็ยังไม่ไว้หน้าข้าอยู่ดี? ไฉนถึงมาเปลี่ยนนิสัยเอาตอนนี้กัน?”
เจี่ยนเฟิงฉือแทบสำลัก เขาหาเหตุผลมาแย้งนางไม่ได้เลย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปจวนตระกูลมู่พร้อมข้าแล้วกัน”
ฉู่หลิวเยว่เชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“ดี ข้ามีเรื่องต้องซักไซร้พวกเจ้าหลายเรื่องเลย”
…
เมื่อมาถึงหน้าจวนตระกูลมู่ และมองไปยังประตูที่คุ้นเคย เจี่ยนเฟิงฉือก็แอบรู้สึกเสียใจขึ้นมาหน่อยๆ
เหตุใดเขาถึงห้ามปากตัวเองไม่เคยได้สักทีนะ!
หากเขาไม่พูดถึงเรื่องนี้ ก็คงไม่ถูกนางบังคับมาที่นี่หรอก!
นายทหารที่รับผิดชอบในการปกป้องดูแลจวนตระกูลมู่ ยังคงเป็นกำลังพลจากกองทัพทหารม้าทมิฬ ทว่าหน่อยที่รับผิดชอบก่อนหน้านี้ที่เป็นคนสนิทของมู่ชิงเห่อ ล้วนถูกแทนที่ด้วยทหารใหม่ทั้งหมด
นายทหารที่ยืนอยู่หน้าประตูตกใจเมื่อเห็นทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามา เขาเตรียมจะทำความเคารพ แต่กลับเห็นฉู่หลิวเยว่โบกมือปฏิเสธเสียก่อน
“มู่ชิงเห่อล่ะ?”
นายทหารคนหนึ่งตอบอย่างรวดเร็ว
“รองแม่ทัพมู่… อยู่ข้างในจวนพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าซื่อจิงเองก็อยู่ที่นั่นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่ส่งซื่อจิงให้ไปรับตัวมู่ชิงเห่อกลับมา หลังจากนั้นซื่อจิงก็ปักหลักอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
การฝึกพลังปราณของมู่ชิงเห่อยังไม่ถูกยกเลิก และคนเดียวที่สามารถปราบปรามพลังของเขาได้ก็คือ ซื่อจิง
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปทันที
ในใจเจี่ยนเฟิงฉืออยากจะหนีไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด และปฏิเสธที่จะเดินหน้าต่อไป แต่สายตาก็ดันไปเห็นฉู่หลิวเยว่ที่หันกลับมาจ้องหน้ากันเสียก่อน
เจี่ยนเฟิงฉือใจเต้นระส่ำทันที ก่อนจะเดินตามนางไปอย่างเชื่อ
หลังจากก้าวเข้าไปในลานด้านใน ซื่อจิงก็โผล่หน้าออกมาทันทีเมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...