“ไอ้บอด แกรีบเก็บข้าวของ แล้วไสหัวออกไปจากบ้านฉัน”
ในคฤหาสน์ตระกูลฉิน ฉินเยียนหรานเดินมายังห้องใต้ดินที่หลินหยางอาศัยอยู่ พูดจาอย่างหยิ่งผยองกับหลินหยางที่กำลังคุกเข่าถูพื้นอยู่
หลินหยางไม่แม้แต่จะเงยหน้า ไม่แม้แต่จะส่งเสียงและถูพื้นต่อไป
ฉินเยียนหรานถีบหลินหยางจนล้มลงไปกองกับพื้น
“ไอ้บอด! ฉันกำลังพูดกับแก แกหูตึงหรือไง?”
หลินหยางค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างของเขามองไม่เห็น ด้านหน้ามีเพียงความมืดมิด
“ผมไปก็ได้ แต่ผมต้องเอาของที่เป็นของผมกลับคืนมา” หลินหยางกล่าว
“ของอะไรที่เป็นของแก? กระจกตา? หรือว่าหุ้นของซิงเย่า กรุ๊ป?”
ฉินเยียนหรานหัวเราะออกมาอย่างเหยียดหยาม “ไอ้บอดอย่างแก ช่างคิดเพ้อฝันจริง ๆ ตอนนี้ไม่มีของชิ้นไหนที่เป็นของแกเลยสักชิ้น ทั้งซิงเย่า กรุ๊ป เป็นของตระกูลพวกฉันหมดแล้ว”
“แม้แต่ ชีวิตอันไร้ค่าของแก ก็เป็นของครอบครัวฉันเหมือนกัน ฉันไม่ฆ่าแกให้ตาย แค่จะให้แกไสหัวออกไปใช้ชีวิตตามยถากรรม ก็นับว่าเมตตากับแกแล้ว”
เมื่อหลินหยางได้ยินดังนั้น ก็กำหมัดแน่นอย่างหมดความอดทน ใบหน้าตอนนี้เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
เมื่อสิบกว่าปีก่อน ฉินโม่หนงพาลูกสาวฉินเยียนหรานหนีภัยมาที่เมืองลั่ว ใช้ชิวิตอย่างยากลำบาก
ฉินโม่หนงเป็นคนสวยตั้งแต่เกิด ไร้ที่พึ่งพาอาศัย ถูกพวกอันธพาลรังแก เป็นเพราะมารดาของหลินหยางช่วยพวกเธอแม่ลูกเอาไว้ รับพวกเธอมาเลี้ยงดู ทั้งยังให้ฉินโม่หนงไปทำงานที่ซิงเย่า กรุ๊ป
มารดาของหลินหยางดีต่อฉินโม่หนงเป็นอย่างมาก เห็นเธอเป็นเหมือนพี่น้องแท้ ๆ ฝึกฝนเธอให้เป็นรองประธานขององค์กรมอบหมายหน้าที่สำคัญให้
เมื่อสองปีก่อน บิดาของหลินหยางประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ก่อนตายได้ฝากฝังบริษัทและหลินหยางให้ฉินโม่หนง ให้หลินหยางยอมรับเธอในฐานะแม่บุญธรรม
หลินหยางเชื่อใจแม่บุญธรรมคนนี้ที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าฉินโม่หนงจะเป็นผู้หญิงใจอสรพิษ ซื้อใจคนในบริษัท จำกัดคนที่เห็นต่าง ควบคุมและกลืนกินหุ้นของหลินหยางทีละน้อยจนหมด
ที่ยิ่งน่าแค้นใจกว่าคือ ฉินเยียนหรานดวงตาได้รับบาดเจ็บ ฉินโม่หนงเอากระจกตาของหลินหยางไป เพื่อปลูกถ่ายให้แก่ฉินเยียนหราน
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลินหยางได้กลายเป็นคนตาบอด ถูกฉินโม่หนงควบคุมอยู่ในบ้าน กลายเป็นสุนัขที่ถูกเลี้ยงจำกัดอยู่ในกรง ได้รับการทรมานและเหยียดหยามจากสองแม่ลูกสารพัด ทำได้เพียงอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินที่มืดครึ้มและอับชื้น มีชีวิตอยู่อย่างไรศักดิ์ศรี
“ทำไม? โมโห? อยากจะตีฉันใช่ไหม?”
ฉินเยียนหรานหัวเราะอย่างเหยียดหยาม ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยืดอกทั้งสองข้างที่น่าภาคภูมิใจขึ้น พูดจาท้าทาย “มาสิ แกมาตีฉันซิ ไอ้บอด!”
“มาสิ ตบฉันสิ!” ในระหว่างที่ฉินเยียนหรานพูดก็ตบหน้าหลินหยางฉาดหนึ่งอย่างรุนแรง
ฉินเยียนหรานฝึกเทควันโดตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ตอนนี้ได้เทควันโดสายดำระดับห้า ต่อให้หลินหยางไม่ได้ตาบอด ก็สู้เธอไม่ได้
สองปีมานี้ถูกขังอยู่ที่ห้องใต้ดินตระกูลฉิน เขาเป็นกระสอบทรายเนื้อมนุษย์มาสองปี มักจะถูกฉินเยียนหรานทุบตีจนบอบช้ำไปทั่วทั้งตัว ถูกเตะจนซี่โครงหักไปหลายซี่
“ไอ้สวะ! ให้แกตีแกยังไม่กล้า คนขี้แพ้อย่างแกจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร? ไม่สู้รีบ ๆ ตายไปซะ!”
หลินหยางเลือดไหลออกมาจากมุมปาก ท่ามกลางเพลิงโทสะที่โหมกระหน่ำ ความอดกลั้นและความแค้นที่สะสมมาตลอดสองปีระเบิดออกมาในเวลานี้ทั้งหมด ทันใดนั้นก็ชกหมัดใส่ฉินเยียนหราน
ฉินเยียนหรานก็คิดไม่ถึงว่าไอ้ขี้แพ้อย่างหลินหยางที่ปกติไม่เคยโต้ตอบ ด่าไม่เคยด่ากลับจะกล้าลงมือกับเธอ ถูกหลินหยางชกหมัดเข้ากลางหน้าอกโดยไม่ทันระวังตัว
เมื่อบริเวณที่บอบบางและอ่อนนุ่มของฉินเยียนหรานถูกต่อย ทำให้รู้สึกเจ็บมาก
“รนหาที่ตายแล้ว!”
ฉินเยียนหรานใช้เท้าเปล่าครอสคิกใส่หัวสมองของหลินหยาง เหมือนกับโดนค้อนทุบทันใด หน้ามืดตาลาย ล้มลงกับพื้น
ฉินเยียนหรานเหยียบบนแผ่นหลังของหลินหยาง ล็อกมือขวาของเขาเอาไว้แล้วเหยียบ มือขวาของเขาก็หัก หลินหยางร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
แม้หักแขนของหลินหยางหักข้างหนึ่งแล้ว แต่ฉินเยียนหรานยังไม่สาแกใจ จึงทั้งเตะทั้งต่อยไปอีกยก ซ้อมจนหลินหยางเลือดท่วมตัว หายใจรวยริน
“พอได้แล้ว! แกจะตีมันให้ตายเลยใช่ไหม?”
ฉินโม่หนงเดินเข้ามาที่ห้องใต้ดิน แผ่ซ่านความมีเสน่ห์ความเป็นผู้ใหญ่และสง่างามออกมา
ฉินเยียนหรานรูปร่างสูงสง่างาม เป็นหญิงงามที่มีรูปร่างร้อนแรง แต่เมื่อเทียบกับฉินโม่หนงผู้เป็นมารดาของเธอ ยังคงทิ้งห่างกันมาก
ตอนที่ฉินโม่หนงให้กำเนิดฉินเยียนหรานเพิ่งจะมีอายุได้สิบห้าปี ตอนนี้ก็อายุแค่เพียงสามสิบสี่ปีเท่านั้น ถ้าไม่บอกว่าเป็นแม่ลูกกัน อันที่จริงจะดูเหมือนพี่สาวกับน้องสาวมากกว่า
กลิ่นอายและเสน่ห์ที่มีความเป็นผู้ใหญ่บนตัวของฉินโม่หนง เป็นสิ่งที่ฉินเยียนหรานที่ยังเยาว์วัยไม่อาจเทียบได้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนหมอมังกรระห่ำเมือง