ในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง
พวกจ้าวเหวินกำลังยืนอยู่บนชายหาดริมแม่น้ำ และมองไปยังเมืองที่อยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าที่สับสน ทันใดนั้นเขาก็เผยสีหน้าที่ดีใจออกทันที และหัวเราะเสียงดังพูดว่า
“ฮ่าๆ ในที่สุดเราก็มาถึงที่นี่จนได้”
จ้าวเหวินคือข้าราชการชั้นผู้น้อยคนหนึ่งในเมืองถูเหอ ต่อมาได้ถูกฉินเหยียนเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้พิพากษาท้องถิ่น ในยามที่จางฝูดูแลทุกๆเรื่องในเมืองถูเหอ ก็เห็นว่าเขามีความสามารถที่โดดเด่น จึงได้สนับสนุนให้เขาเป็นผู้ดูแลเมือง และที่เขามาในคราวนี้ ก็เพราะได้รับบัญชาจากจางฝูและฉินเหยียน ให้มุ่งหน้ามาช่วยเหลือหลี่ชางในการโจมตีเมือง
เขาต้องการใช้ข้อถกเถียงในการปลุกปั่นสิ่งต่างๆ ภายในเมืองเปียงยาง หากทำให้เจ้าท่านผู้นำและเหล่าขุนนางในเมืองผิดใจกันได้ก็จะดีที่สุด การโจมตีเมืองเช่นนี้จะลดอุปสรรคไปได้มาก
ต้องยอมรับว่าหลี่ชางเป็นคนที่ฉินเหยียนชื่นชอบอย่างยิ่ง เมื่อรู้ว่าเขาทำเรื่องโง่เขลาอีกครั้ง สิ่งแรกที่ทำก็ยังเป็นการช่วยเหลือ ไม่ใช่การตำหนิ และการที่ส่งคนมาช่วยหลี่ชางในการโจมตีเมืองก็เป็นความเห็นของจางฝูเช่นกัน
แต่ว่าเมื่อพวกจ้าวเหวินได้มาถึงใกล้ๆเมืองเปียงยางแล้วก็ต้องอึ้งไปตามๆกัน
มีผู้ติดตามคนหนึ่งอึ้งไปแล้วพูดว่า “นี่ให้เรามาช่วยแม่ทัพหลี่โจมตีเมืองไม่ใช่รึ? แล้วคนโจมตีเมืองเล่า? เราคงไม่ได้มาช้าไปหรอกนะ?”
“หา? ไม่นะ ข้าได้คำนวณเวลามาตลอดทาง เราไม่เพียงแต่จะมาตรงเวลา แถมยังเร็วกว่าสองวันด้วย”
ทุกคนรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
แต่จู่ๆจ้าวเหวินก็เหมือนจะสังเกตเห็นอะไร เขาเบิกตากว้างแล้วชี้ไปยังตรงกำแพงเมืองแล้วพูดว่า
“พวกเจ้าลองดูให้ดีสิ บนกำแพงเมืองนั่นเหมือนจะเสียบธงของอาณาจักรฉินไว้นะ!”
“ว่าอย่างไรนะ!”
ทุกคนประหลาดใจอย่างมากและพากันมองไปยังบนกำแพงเมือง และพบว่าบนกำแพงเมืองที่สูงนั้นมีธงที่เขียนว่าอาณาจักรฉินเสียบอยู่จริงๆ แถมยังมีทหารอาณาจักรฉินคอยยืนประจำการอยู่มากมายบนกำแพงเมืองด้วย
“ให้ตายเถิด! แม่ทัพหลี่ได้ยึดเมืองเปียงยางได้แล้วงั้นรึ?” ผู้ติดตามคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างตกตะลึง
คนอื่นๆเองก็เบิกตากว้าง สีหน้าตกตะลึงอย่างมาก
แม้แต่จ้าวเหวินก็พูดอย่างตกตะลึงว่า “แม่ทัพหลี่เป็นเทพเจ้าจริงๆ!”
คำชมนี้มาจากใจอย่างแท้จริง
“แม่ทัพหลี่สุดยอดจริงๆ มิน่าอ๋องเหยียนจึงไว้ใจแม่ทัพหลี่มากเพียงนี้ สมคำร่ำลือจริงๆ”
ผู้ติดตามคนหนึ่งพึมพำขึ้นด้วยสีหน้าที่เคารพบูชา
ส่วนผู้ติดตามคนอื่นๆเองก็รีบพูดยกยอว่า
“แน่นอนอยู่แล้ว สายตาของอ๋องเหยียนนั้นเฉียบขาดมาก จะมองคนผิดไปได้อย่างไรกัน”
“จริงด้วย......”
เมื่อทุกคนยกยอกันแล้วก็ได้มองไปยังเมืองเปียงยาง
จ้าวเหวินเองก็ไม่กล้าเสียเวลาต่อ เขาโบกมือแล้วพูดว่า “ไปกัน เข้าไปด้านใน”
แต่ว่า ดูเหมือนว่าหลายวันมานี้ฉินเหยียนจะหายตัวไป ไม่มีท่าทีจะพบพวกเขาเลย วันนี้จางฝูรู้สึกว่าถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้แล้วจึงได้มาหาฉินเหยียน
“เข้าเฝ้าท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้อง ฉินเหยียนวางเครื่องเขียนลง เมื่อเห็นว่าจางฝูมาก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านจางงั้นรึ? รีบเข้ามาสิ”
จางฝูคำนับแล้วก็ได้มานั่งหน้าโต๊ะ
ฉินเหยียนสั่งให้คนยกน้ำชาร้อนๆมา จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “คนตระกูลเหล่านั้นเป็นสุขรึไม่? คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่รึไม่?”
เรื่องของตระกูลจางก่อนหน้านี้ทำให้เขาจดจำได้เป็นอย่างดี ทำให้รู้สึกว่าพวกตระกูลขุนนางที่มีอำนาจในเยี่ยนเป่ยต่างก็ไร้มารยาทสิ้นดี สร้างปัญหามากมาย ดังนั้นฉินเหยียนจึงรู้สึกกังวลอยู่บ้าง
เมื่อจางฝูได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า
“สงบอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ แต่ละคนเชื่อฟังราวกับนักเรียนในห้องเรียน แม้แต่เรื่องทานอาหารก็ยังต้องให้กระหม่อมเอ่ยปากก่อนจึงจะกล้าทาน แถมแต่ละคนก็ยังไม่เคยเห็นอาหารที่สวยงามและรสเลิศเช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ......”
“ฮ่าๆๆ น่าสนใจจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของจางฝูแล้ว ฉินเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าเจ้าพวกตระกูลขุนนางเหล่านี้น่าขันอย่างยิ่ง
เมื่อจางฝูเห็นว่าฉินเหยียนอารมณ์ดีเช่นนี้จึงพูดต่อว่า “แน่นอนว่าพวกเขามีจุดที่ไม่พอใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์
คนเขียนเก่งจริง ทำให้คนอ่านรู้สึกหงุดหงิดกับการตามหาลูกสาวของฉินเหยียน และจังหวะคาดที่จะได้เจอกันของเฝิงตู่กับฉินเหยียนจริงๆ ถ้าจะหากันจริงๆก็น่าจะทำง่ายป่ะ ประกาศหรือแจ้งข่าวไปว่าฮ๋องเหยียนต้องการพบปะเฝิ่งตู่นัดให้ไปเจอสักที่ตัวเองมีเครือข่ายทั่วอาณาจักรยังไงข่าวก็ต้องถึงหูอยู่แล้ว บัดเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเอาเลยพระเอกฉัน...
จบแล้วเหรอคะ ..จบแบบงงๆ...
จะมีต่อ..หรือจบแล้วครับ...
มีต่อมั๊ยครับ สนุกมากขอบคุณครับ...
รออ่านอยูนะครับสนุกมาก...
รออ่านดูนะครับ..เมตตาลงต่อเร็วหน่อยนะคะรับ รอแบบไม่มีกวังเลยครับตอนนี้ เงียบหลายวันมากๆ ขอความเมตตาช่วยลงให้อ่านด้วยครับ...
รอตอนที่ 631 อยู่นร้า...
รอตอนต่อไป…กำลังสนุก...
สนุกมากครับขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครับของคุณครับ...
มาแล้ว630...