“นั่นก็คือพวกเขามาเยือนที่เมืองถูเหอหกเจ็ดวันแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้พบพระองค์เลย ดังนั้นจึงกังวลกันอยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเหยียนได้ยินดังนั้นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากนัก เขาถอนหายใจเบาๆแล้วถามว่า
“ที่เจ้ามาหาข้าก็คงเพราะรู้สึกถ่วงเวลาต่อไปไม่ไหวแล้วสินะ?”
จางฝูพูดเสียงเบาว่า “เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ หลายวันมานี้กระหม่อมพยายามอธิบาย ว่าบัดนี้พระองค์ยังไม่พร้อมที่จะให้เข้าพบ แต่ผู้นำแต่ละตระกูลก็ยังแสดงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเหยียนยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “เจ้าอธิบายกับพวกเขา ถ่วงเวลาอีกสักหน่อยเถิด”
“คือ......คงไม่ดีรึไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จางฝูได้ยินดังนั้นก็พูดอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “กระหม่อมคิดว่าควรจะเจรจาเรื่องของพวกเขาให้เสร็จสิ้นโดยเร็วจะดีกว่า เช่นนี้จะแสดงถึงการให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ของอาณาจักรฉินพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงเด็ดขาดของเรา จะทำให้พวกเขามั่นใจในอาณาจักรฉินมากยิ่งขึ้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของจางฝูเองก็สมเหตุสมผล แต่ฉินเหยียนกลับเงียบไป เขาถอนหายใจแล้วมองจางฝูพร้อมถามขึ้นว่า
“เจ้าคงจะรู้เรื่องสงครามในม่อเป่ยใช่รึไม่?”
จางฝูพยักหน้า
ฉินเหยียนพูดอย่างจนปัญญาว่า “ท่านจาง หากเป็นการปกครองท้องถิ่น เจ้าทำให้ข้ารู้สึกตระหนักด้วยความสามารถของเจ้าก็จริง แต่หากเป็นเรื่องของอาณาจักรแล้ว เจ้ากลับไม่รู้อะไรจริงๆ!”
นี่เป็นครั้งที่สามที่ฉินเหยียนพูดเช่นนี้แล้ว จางฝูมีความสามารถที่ดีก็จริง และเชี่ยวชาญในการคว้าโอกาส แต่ความสามารถในการปกครองอาณาจักรนั้นยังด้อยนัก คนเช่นนี้เป็นผู้ที่มีฝีมือในการจัดการพระราชสำนัก แต่ไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถพอที่จะช่วยเหลือฮ่องเต้ได้
จางฝูพูดอย่างละอายใจเล็กน้อยว่า “กระหม่อมละอายใจยิ่งนัก ท่านอ๋องโปรดชี้แนะด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินเหยียนโบกมือแล้วพูดว่า “ที่ข้าไม่แยแสพวกเขา ไม่ใช่ว่าข้าต้องการจะดับไฟฮึกเหิมของพวกเขา และไม่ใช่การวางอำนาจแต่อย่างใด แต่ข้ารอโอกาสอยู่”
“หือ?” จางฝูอึ้งไป เขาตั้งสติไม่ทัน
......
ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองถูเหอ
ทีมเจรจาของทั้งสามตระกูลได้มารวมตัวกัน ทุกคนต่างก็วิตกกังวล
ผู้นำตระกูลอู๋อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “พวกเจ้าคิดว่าคนอาณาจักรฉินคิดจะทำอะไรกันแน่? วันๆเอาแต่พาพวกเราไปเที่ยวเมืองถูเหอ เราไม่ได้มาเที่ยวชมนะ”
“นั่นสิ ต่อให้อ๋องเหยียนจะอยากวางอำนาจต่อเรา ข้าก็เข้าใจได้ แต่นี่ไม่แยแสเรามากี่วันแล้ว ยอมให้วางอำนาจแล้ว แล้วยังคิดจะทำอะไรอีก?”
ผู้นำตระกูลหยางที่อารมณ์ร้อนพูดกล่าวโทษว่า “เจ้าพวกคนอาณาจักรฉินรังแกกันมากเกินไปแล้ว!”
“เฮ้อ!” ผู้นำตระกูลอู๋ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “อ๋องเหยียนไม่ยอมพบพวกเรา แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า? อย่างไรก็ต้องคอยต่อไป แต่ต้องรออีกนานเท่าไรเนี่ยสิ”
ทุกคนรอมาหลายวันแล้ว และรู้สึกไม่สบอารมณ์กันบ้างแล้ว
แม้เขาจะเป็นผู้น้อย แต่เขาก็ได้รับสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิวมา และเมื่อมีตำแหน่งนี้ค้ำจุน ทุกคนจึงไม่กล้าดูถูกเขาแม้แต่น้อย
และแล้วทุกคนก็เงียบแล้วหันไปมองหลิวอวี่หลินพร้อมกัน
หลิวอวี่หลินครุ่นคิดแล้วก็พูดอย่างสุภาพเรียบร้อยว่า
“ข้ามีความเห็นเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องที่เหตุใดคนอาณาจักรฉินจึงไม่ยอมพบเราเสียที ทุกท่านล้วนแต่เป็นรุ่นอาของข้า หากข้าผู้น้อยมีความคิดใดที่ผิดพลาด ก็ขอให้อย่าได้ถือสากัน”
“จงพูดมาเถิด” ผู้นำคนหนึ่งพูดขึ้น
หลิวอวี่หลินจึงได้ค่อยๆพูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าที่อ๋องเหยียนยังไม่พบเราเสียที ไม่ใช่ว่ากำลังวางอำนาจต่อเรา และไม่ใช่การตัดไฟฮึกเหิมของเราด้วย”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนขมวดคิ้ว มีคนหนึ่งที่พูดขึ้นว่า
“หือ? ในเมื่อไม่ใช่เช่นนั้น แล้วเหตุใดจึงไม่พบพวกเราเล่า?”
“นั่นสิ เช่นนั้นก็ควรจะรีบพบเราแล้วตกลงกันเรื่องร่วมมือกันสิ”
“จริงแล้ว หรือคนอาณาจักรฉินคิดจะปั่นหัวพวกเรา หลอกให้เรามาเที่ยวงั้นรึ?”
ทุกคนต่างระบายความโกรธของตนเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์
คนเขียนเก่งจริง ทำให้คนอ่านรู้สึกหงุดหงิดกับการตามหาลูกสาวของฉินเหยียน และจังหวะคาดที่จะได้เจอกันของเฝิงตู่กับฉินเหยียนจริงๆ ถ้าจะหากันจริงๆก็น่าจะทำง่ายป่ะ ประกาศหรือแจ้งข่าวไปว่าฮ๋องเหยียนต้องการพบปะเฝิ่งตู่นัดให้ไปเจอสักที่ตัวเองมีเครือข่ายทั่วอาณาจักรยังไงข่าวก็ต้องถึงหูอยู่แล้ว บัดเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเอาเลยพระเอกฉัน...
จบแล้วเหรอคะ ..จบแบบงงๆ...
จะมีต่อ..หรือจบแล้วครับ...
มีต่อมั๊ยครับ สนุกมากขอบคุณครับ...
รออ่านอยูนะครับสนุกมาก...
รออ่านดูนะครับ..เมตตาลงต่อเร็วหน่อยนะคะรับ รอแบบไม่มีกวังเลยครับตอนนี้ เงียบหลายวันมากๆ ขอความเมตตาช่วยลงให้อ่านด้วยครับ...
รอตอนที่ 631 อยู่นร้า...
รอตอนต่อไป…กำลังสนุก...
สนุกมากครับขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครับของคุณครับ...
มาแล้ว630...