“พวกเจ้าเป็นหมอภาษาอะไร? ไม่รู้อะไรสักอย่าง ข้าจะมีพวกเจ้าไว้ทำไมกัน?”
ฉินชงจ้องไปที่หมอหลวงด้วยความโกรธ
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับน้องเจ็ด ข้าจะให้เจ้ากลับไปทำนาแทน”
“ฝ่าบาท ได้โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วย พวกเราพยายามรักษาอ๋องอวี่อย่างเต็มที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงต่างหวาดกลัวจนถึงขั้นคุกเข่าลงไปกับพื้น
ฉินชงมองไปที่พวกเขา จากนั้นเดินออกไป
หลังจากที่ออกจากตำหนักหมอหลวงแล้ว กำลังใจของฉินชงก็ดีขึ้นมาก แม้ว่าอาการฉินอวี่จะยังไม่คงที่ แต่ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว
ตอนนี้เขารู้สึกตัว อีกทั้งยังพูดตอบโต้ได้ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉินชงรีบเดินตรงไปยังห้องหนังสือ ตัดสินใจทำงานต่อ
ในตอนที่เขากำลังเดินกลับ บังเอิญเดินสวนกับเสนาบดีกรมพิธีการที่หน้าห้องหนังสือพอดี
“ฝ่าบาท!”
เมื่อเสนาบดีกรมพิธีการเห็นฉินชง เขาก็รีบทำความเคารพทันที
“เข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
“ทำตัวตามสบาย!”
ฉินชงโบกมือ แล้วถามอย่างสงสัย
“เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?”
“ฝ่าบาท วันนี้กระหม่อมได้รับสาส์นจากต่างอาณาจักร มีอาณาจักรต่างแดนเสร็จมาเยี่ยมเยียนอาณาจักรฉินพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้? อาณาจักรต่างแดนจะมาเยี่ยมเยียนพวกเราหรือ? เรื่องนี้เจ้าก็จัดการได้มิใช่หรือ?”
ฉินเหยียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย อาณาจักรฉินมีอำนาจมากขึ้นทุกๆ ปี ทุกๆ ปีมีอาณาจักรต่างแดนต้องการเข้ามาเยี่ยมเยียนจำนวนมาก
ถ้าเป็นปีก่อน เสนาบดีกรมพิธีการคงเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับมาถามเขา ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจมาก
เสนาบดีกรมพิธีการโค้งคำนับและถามอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาท อาณาจักรต่างแดนที่กระหม่อมพูดถึงนั่นคือ ดินแดนชาวตาดพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อฉินชงได้ยินชื่อนั้นเขาพลันหยุดเดินทันที จ้องไปที่เสนาบดีกรมพิธีการพร้อมกับขมวดคิ้วถามว่า
“ชาวตาด? พวกเขาจะมาทำไมกัน?”
ตอนนี้ชายแดนอาณาจักรฉินและตาดมีกองทัพคอยเฝ้าระวังอยู่ รวมๆ แล้วประมาณหนึ่งล้านคน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทันระวังตัว ย่อมเกิดสงครามขึ้นมาได้ง่ายๆ
นั่นหมายความว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ลงรอยกันอยู่
เสนาบดีกรรมพิธีการพูดขึ้นว่า “เหตุผลที่แท้จริงกระหม่อมเองก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจึงคิดว่าต้องหารือกับฝ่าบาท”
ฉินชงคิดพักหนึ่ง จากนั้นพยักหน้า
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องหนังสือ หลังจากฉินชงนั่ง เขาก็ถามกลับว่า
“มีเรื่องอะไร เจ้าพูดมาได้เลย”
“หากข้าสนใจแต่เรื่องขึ้นครองราชย์ และไม่สนใจความเป็นความตายของประชาชน เช่นนั้นราชสำนักจะยังมั่นคงอยู่อีกหรือ!”
เสนาบดีกรมพิธีการอยากจะแย้ง แต่กลับถูกฉินชงขัดขึ้นมาก่อน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดไม่ออก ฉินชงโบกมือปัดแล้วพูดขึ้นว่า
“หากเจ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้าก็กลับไปเถิด”
เสนาบดีกรมพิธีการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดอย่างหมดหนทางว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีเรื่องสุดท้ายที่ต้องรายงานพ่ะย่ะค่ะ!”
“เอ๋?” ฉินชงขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามด้วยความไม่พอใจ
“พูดมา มีเรื่องอะไรอีกหรือ?”
เสนาบดีกรมพิธีการลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“ฝ่าบาท ตอนนี้อาณาจักรฉินได้รวมทั้งเก้าแคว้นเข้าด้วยกันแล้ว เมืองหลวงมีโอกาสเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเป็นหน้าตาแก่อาณาจักรฉินอีกด้วย มีทูตจากต่างอาณาจักรมาเยือนทุกๆ ปี กระหม่อมคิดว่าถึงเวลาที่จะบูรณะพระราชวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีเงิน” ฉินชงปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
จู่ๆ เสนาบดีกรมพิธีการพลันรู้สึกเป็นกังวล คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่มีทางยืดเยื้ออีกต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระราชวังอาณาจักรฉินในตอนนี้ สร้างมาตั้งแต่รัชสมัยฮ่องเต้ฉินเหวิน ผ่านมาร่วมร้อยปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พระราชวังเป็นภาพลักษณ์ของอาณาจักรฉิน แต่รูปแบบการสร้างยังสู้เมืองเซียนตูและเมืองใหม่อื่นๆ ไม่ได้เลย ทรุดโทรมกว่าพระราชวังเก่าของอาณาจักรจ้าว อาณาจักรหลู่เสียอีก อย่าว่าแต่ทูตต่างเมืองที่จะหัวเราะเลยพ่ะย่ะค่ะ ขนาดประชาชนยังเอือมระอาให้กับความเก่าและทรุดโทรมนี้”
“ฝ่าบาท หากอาณาจักรฉินไม่สร้างพระราชวังใหม่ กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของอาณาจักรฉินพ่ะย่ะค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์
คนเขียนเก่งจริง ทำให้คนอ่านรู้สึกหงุดหงิดกับการตามหาลูกสาวของฉินเหยียน และจังหวะคาดที่จะได้เจอกันของเฝิงตู่กับฉินเหยียนจริงๆ ถ้าจะหากันจริงๆก็น่าจะทำง่ายป่ะ ประกาศหรือแจ้งข่าวไปว่าฮ๋องเหยียนต้องการพบปะเฝิ่งตู่นัดให้ไปเจอสักที่ตัวเองมีเครือข่ายทั่วอาณาจักรยังไงข่าวก็ต้องถึงหูอยู่แล้ว บัดเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเอาเลยพระเอกฉัน...
จบแล้วเหรอคะ ..จบแบบงงๆ...
จะมีต่อ..หรือจบแล้วครับ...
มีต่อมั๊ยครับ สนุกมากขอบคุณครับ...
รออ่านอยูนะครับสนุกมาก...
รออ่านดูนะครับ..เมตตาลงต่อเร็วหน่อยนะคะรับ รอแบบไม่มีกวังเลยครับตอนนี้ เงียบหลายวันมากๆ ขอความเมตตาช่วยลงให้อ่านด้วยครับ...
รอตอนที่ 631 อยู่นร้า...
รอตอนต่อไป…กำลังสนุก...
สนุกมากครับขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครับของคุณครับ...
มาแล้ว630...