องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 1309

จ้าวจือหย่าขานรับ จากนั้นก็พยุงฉินเหยียนไปที่ห้องหนังสือหลวง

เมื่อมาถึงแล้วฉินเหยียนก็พบว่า นอกจากฉินชงแล้ว หลินเย้าจู้และพวกเสนาบดีกรมพระคลังรวมถึงเสนาบดีกรมพิธีการเองก็อยู่ในห้องหนังสือหลวง

“น้องสิบสี่”

“อ๋องเหยียนพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินเหยียนโบกมือ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ยุ่งอยู่งั้นรึ?”

ฉินเหยียนถามขึ้นไปอย่างงั้น แต่การกระทำของเขาก็ทำให้เสนาบดีกรมพิธีการแสดงสีหน้าสับสนแล้วถอนหายใจออกมา

แต่ฉินชงกลับไม่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม เขาส่ายหน้าแล้วยิ้มพูดว่า

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ใครก็ได้ ยกที่นั่งมาให้เจ้าสิบสี่ที”

ฉินเหยียนยิ้ม เขาไม่ได้ปฏิเสธ และนั่งอยู่ข้างๆ

ฉินชงถามขึ้นว่า “น้องสิบสี่ เจ้ามีเรื่องใดงั้นรึ?”

“มีเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้ท่านพี่ช่วยออกความเห็น” ฉินเหยียนยิ้มอย่างมีลับลมคมใน

ฉินชงอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “หือ? เรื่องอะไรรึ ลองว่ามาสิ”

ฉินเหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยพูดขึ้นว่า

“พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าหลังจากที่พี่ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เราต้องคิดเรื่องสร้างเมืองหลวงใหม่แล้ว”

“หา?” ฉินชงอึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น

ฉินเหยียนเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักจึงรีบอธิบายว่า

“พี่ใหญ่ ที่นี่เก่าแล้วจริงๆ อีกอย่างตำแหน่งก็ค่อนข้างห่างไกล การป้องกันชายแดนม่อเป่ยก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะใช้ในการต่อกรกับพวกชาวตาดในอนาคตด้วย แต่ระยะห่างกับเมืองหลวงของเรานั้น ต่อให้นั่งรถไปก็ต้องใช้เวลาหกถึงเจ็ดวัน ไปกลับก็หนึ่งเดือนแล้ว ไม่ส่งผลดีต่อการควบคุมเลย”

ฉินเหยียนพูดไปมากมาย แต่ฉินชงก็ยังคงมีท่าทีอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา สีหน้าของเสนาบดีกรมพระคลังเองสับสน

ทำเอาฉินเหยียนหยุดพูดถึงประเด็นนี้ แล้วมองทุกคนพร้อมถามขึ้นว่า “มีอะไรงั้นรึ?”

ฉินชงกระแอมแล้วมองไปรอบๆ จากนั้นก็พูดกับเสนาบดีกรมพระคลังอย่างจนปัญญาว่า

“เจ้ารายงานสถานการณ์กับน้องสิบสี่เถิด”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

เสนาบดีกรมพระคลังคำนับ จากนั้นก็พูดกับฉินเหยียนอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า

“อ๋องเหยียนคงยังไม่ทราบ บัดนี้ท้องพระคลังของอาณาจักรฉินขาดดุล กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อาณาจักรฉินไม่มีเงินแล้วพ่ะย่ะค่ะ......”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเสนาบดีกรมพระคลัง ฉินชงก็พูดสมทบว่า

“น้องสิบสี่ ที่จริงข้าก็มีสมบัติอยู่บ้าง หากการลงทุนที่อาณาจักรอู๋ขาดแคลนเงิน ต่อให้ข้าต้องเอาออกมาทั้งหมดก็จะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวล”

“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก หนึ่งร้อยล้านตำลึงก็พอแล้ว......แต่อาจไม่มีเงินสำหรับการก่อสร้างกองเรือแล้ว”

ฉินเหยียนขมวดคิ้วแน่นทันที ให้ตายเถิดเอาแต่มุ่งความสนใจไปที่เรื่องวิจัยจนมองข้ามปัญหาภายในไปได้ จะว่าไปก็เป็นเรื่องปกติ อาณาจักรฉินเพิ่งจะมีการสะสมไม่กี่ปีมานี้ อาณาจักรฉินในอดีต ตราบใดที่หนึ่งปีสามารถเก็บภาษีได้ห้าถึงหกล้านตำลึงก็ถือว่ามากมายแล้ว

ต่อมาเมื่อมีเขามาลงมือในระยะยาว อาณาจักรฉินจึงจะกลายเป็นอาณาจักรที่ทำเงินได้ทุกวันเช่นนี้ แต่หากคำนวณดูแล้ว เป็นอาณาจักรที่ทำเงินได้ทุกวันก็จริง แต่ก็ไม่กี่ปีเท่านั้น

เขาใช้เงินในไม่กี่ปีมานี้ไปมากมาย โดยเฉพาะเมื่อยึดครองดินแดนได้แล้วก็ใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย ทุกครั้งที่มีความคิดใหม่ๆ ก็จะผลักดันทุกทิศทางทันที และเป็นการใช้จ่ายที่มหาศาล

ดังนั้นแม้ว่าอาณาจักรฉินจะร่ำรวย แต่แท้จริงแล้วท้องพระคลังไม่ได้มีเงินมากเท่าไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรวมกับการใช้จ่ายจำนวนมากครั้งล่าสุดและการสนับสนุนชาวเมืองอาณาจักรหลู่แล้วจะเหลือเท่าไรกัน?

“น้องสิบสี่ เรื่องสร้างใหม่ที่เจ้ากล่าวถึง เพียงแค่เจ้าพูดมา ข้าจะสนับสนุนอย่างสุดกำลังแน่นอน แต่ในตอนนี้พระราชสำนักรับไม่ไหวจริงๆ”

ฉินชงถอนหายใจแล้วพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาโศกเศร้า จะบังคับเก็บภาษีเพียงเพราะจะสร้างเมืองหลวงใหม่ไม่ได้หรอก เพราะหากทำเช่นนั้น ความมั่นคงของอาณาจักรฉินในหลายปีมานี้ก็จะถูกทำลายลง และอาจถึงขั้นทำให้เกิดความโกลาหลอย่างใหญ่หลวงด้วย

ฉินเหยียนขมวดคิ้วแน่น เขาเงียบไปนานแล้วพูดขึ้นว่า

“ข้ามีวิธีที่จะหาเงินได้”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์