องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 229

ในขณะเดียวกันนั้น

เมื่อผู้ตรวจการจ้าวชี่ว์ปิ้งแห่งอาณาจักรจ้าวได้เจรจากับอาณาจักรฉิน แล้วไถ่อัครเสนาบดีจ้าวฉี่หมิงคืนมา ด้วยการเดินทางอันเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ขบวนรถม้าก็ได้เดินทางมาถึงนอกด่านเจียยวี่แล้ว คณะทูตอาณาจักรจ้าวได้ลงจากรถม้าเพื่อยอมรับการตรวจสอบ พวกเขามอบเตี๊ยบบุ๊งออกมาเพื่อยืนยันตัวตน

จ้าวฉี่หมิงนั่งอยู่ในรถม้าไม่ออกมาตลอดทาง ด่านเจียยวี่คือความอัปยศในชีวิตของเขา ความเกรียงไกรของเขาพังทลายลง ณ ที่แห่งนี้ นั่นทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก และในขณะที่จ้าวฉี่หมิงกำลังคิดวางแผนชั่วร้ายอยู่นั้น ด้านนอกรถม้าก็มีเสียงตกตะลึงดังขึ้น

“พระเจ้า! มีเมืองปรากฏขึ้นที่นี่ได้อย่างไร?”

จ้าวฉี่หมิงยิ่งรู้สึกวุ่นวายใจ เขาเปิดผ้าม่านออกอย่างรำคาญใจ ทันทีที่จะด่าทอก็เห็นเมืองใหม่ที่ยิ่งใหญ่

“เกิดอะไรขึ้น มาผิดทางงั้นรึ?”

ขบวนรถม้าของอัครเสนาบดีจ้าวฉี่หมิงแห่งอาณาจักรจ้าวและจ้าวชี่ว์ปิ้งได้หยุดลงพร้อมกัน ผู้บังคับรถม้าและเหล่าทหารองครักษ์ในคณะทูตต่างก็ตกตะลึงกับภาพความรุ่งโรจน์และหรูหราของเมืองใหม่ มีคนเข้ามารายงานว่า

“ท่านอัครเสนาบดีขอรับ เราเพิ่งผ่านเมืองเจียยวี่มา ไม่มีทางผิดแน่นอนขอรับ!”

จ้าวชี่ว์ปิ้งพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เกิดอะไรขึ้น ข้าจำได้ว่าก่อนจะไปเยือนอาณาจักรฉินได้ผ่านทางนี้มาเช่นกัน ที่นี่ยังเป็นที่แห้งแล้ง นี่ผ่านไปไม่กี่วันก็มีเมืองปรากฏขึ้นแล้วงั้นรึ!”

จ้าวฉี่หมิงเองก็มีสีหน้าที่เหลือเชื่อเช่นเดียวกัน

“ระหว่างด่านถงกวานและด่านเจียยวี่ไม่มีที่อยู่อาศัยของมนุษย์เป็นระยะทางหลายร้อยไมล์จริงๆ เพียงแต่ว่าในระยะเวลาสั้นๆแค่นี้ จะสร้างเมืองที่ยิ่งใหญ่มากขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”

สมาชิกคณะทูตที่อยู่ด้านหลังได้คาดเดาว่า “ว่ากันว่าองค์ชายสิบสี่ฉินเหยียนคือเทพเจ้ามาเกิด หรือว่าเขาจะเสกเมืองนี้ขึ้นมางั้นรึ?”

“ไร้สาระ!”

จ้าวฉี่หมิงปฏิเสธเสียงแข็งว่า “เทพเจ้าบ้าบออะไรกัน ก็แค่แผนฉวยโอกาสเอาเปรียบเท่านั้น คิดว่าโลกนี้มีเทพเจ้าจริงๆรึไง!”

จ้าวชี่ว์ปิ้งเองก็รู้สึกว่าฉินเหยียนไม่ใช่เทพเจ้า แต่มันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ เขาเองก็คิดไม่ออกจึงได้เสนอว่า

“ต่อให้คิดกันไปเองก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่งตัวปลอมตัวแล้วแอบเข้าไปสำรวจในเมืองกันหน่อยเป็นไง”

จ้าวฉี่หมิงคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดี ทั้งสองเข้ากันได้ดี จากนั้นก็พาเหล่าสมาชิกคณะทูตแต่งตัวปลอมเป็นชาวเมืองธรรมดาแล้วเข้าไปปะปนในดมือง

......

อีกด้านหนึ่ง จ้าวจือหย่าได้รับการ์ดเชิญจากฉินเหยียน

“อ๋องเหยียนคิดเรื่องสนุกๆออกมาได้อีกแล้ว แถมยังได้ตั้งวิธีการซื้อขายแบบใหม่ที่เรียกว่าการประมูลขึ้นมาด้วย เชื้อเชิญพวกข้าเข้าไปร่วมงานด้วย”

จ้าวจีเอ๋อร์กำลังพลิกดู หยางจิ่นซิ่วแย่งมาแล้วทิ้งมันไปทันที นางเดินอ้อมมาพิงอยู่ตรงเก้าอี้แล้วกินถังหูลู่ไปด้วยและพูดอย่างไม่แยแสไปด้วยว่า

จ้าวชี่ว์ปิ้งด่าทอด้วยความเดือดดาลว่า “คิดจะก่อกบฏรึไง! พบอัครเสนาบดีแล้วยังไม่คุกเข่าลง แถมยังกล้าใช้อาวุธอีก!”

ด้วยแรงกดดันของสายเลือดราชวงศ์ทำให้หยางจิ่นซิ่วจำใจต้องก้มหัวลงทั้งที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง นางเก็บหอกแล้วสะบัดข้อมือ จากนั้นหอกก็ทิ่มเข้าไปบนพื้น นางคุกเข่าลงอย่างจำใจแล้วคารวะด้วยเสียงเย็นชาว่า

“แม่ทัพหญิงแห่งตระกูลหยาง หยางจิ่นซิ่ว ทำความเคารพท่านอัครเสนาบดีและท่านผู้ตรวจการเจ้าค่ะ!”

เมื่อสถานการณ์คับขันคลี่คลายลงแล้วจ้าวฉี่หมิงก็ถอนหายใจยาวๆ การตายของหยางจ้ายซิ่นนั้นเป็นเพราะการตัดสินใจที่ไร้สมองของเขาจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าหยยางจิ่นซิ่วรู้ความจริงด้วย ช่างเถอะอย่างไรก็เป็นอัครเสนาบดีแห่งอาณาจักรจ้าว อย่างไรก็แสร้งวางมาดไปก่อน เขาพูดเปลี่ยนเรื่องว่า

“หญิงสาวช่างหุนหันพลันแล่นเสียจริง ลุกขึ้นมาตอบคำถามซะ บอกข้ามาว่าเมืองใหม่ สร้างขึ้นเมื่อไร?”

“ไม่รู้”

หยางจิ่นซิ่วเต็มไปด้วยความโกรธ ไม่ว่าจ้าวฉี่หมิงจะถามอะไรนางก็ทำท่าทีไม่รู้ไม่ชี้

จ้าวฉี่หมิงยิ่งถามก็ยิ่งโกรธ เขาด่าทอด้วยสีหน้ามืดมนว่า “เจ้ามัวทำอะไรอยู่กันแน่! อยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้วกลับไม่รู้อะไรเลย หรือเมืองใหม่แห่งนี้มันถูกเสกออกมารึยังไง!”

ด้วยคำพูดของจ้าวฉี่หมิง หยางจิ่นซิ่วจึงดึงสติกลับมาได้ นางอยู่ที่นี่มาใกล้จะสามเดือนแล้ว นางเห็นเมืองแห่งนี้ค่อยๆถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วันที่ไม่มีอะไรเลยกับตา เพราะอยู่ในพื้นที่จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก พอตอนนี้หันกลับไปมอง เพียงเวลาสามเดือนก็สามารถสร้างเมืองที่ยิ่งใหญ่มากเพียงนี้ได้ นางอุทานพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า

“หรือว่าฉินเหยียนจะเป็นเทพเจ้าจริงๆงั้นรึ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์