ฉินเหยียนมองไปที่หญิงโสเภณีคนนั้น คลื่นอารมณ์ในใจซัดเข้ามา
สงสารคนเป็นพ่อเป็นแม่ในโลกนี้จริงๆ หากไม่ได้ถูกโลกนี้บังคับจนไม่มีทางเอาชีวิตรอด ใครกันจะยอมขายตัวเองเพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่ต่อ
“เจ้าไปที่ร้านอาหารกับพวกข้าก็ได้ ข้าเลี้ยงอาหารมื้อนี้เจ้าเอง”
โสเภณีหญิงไม่คิดว่าลูกค้าที่นาพบในวันนี้จะใจดีขนาดนี้ นางรีบคุกเข่าลงและโค้งคำนับเป็นการขอบคุณ
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน ช่างเป็นน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกินเจ้าค่ะ!”
จากนั้นทั้งสามก็มาถึงร้านอาหารเล็กๆ ที่ใกล้พวกเขาที่สุด
ปัจจุบันเศรษฐกิจในอาณาจักรจ้าวอยู่ในสภาวะถดถอย ในร้านมีลูกค้าน้อยมาก
พวกเขานั่งลงตรงที่นั่งริมหน้าต่าง
ฉินเหยีนยกมือเรียกนักงาน
“มีอะไรอร่อยบ้าง เอามาให้หมด”
เมื่อพนักงานเห็นว่าพวกเขาทั้งสามดูไม่เหมือนคนมีเงิน จึงตอบด้วยท่าทีเฉยเมยว่า
“ร้านเรามีแค่บะหมี่ธรรมดาๆ ชามละห้าสิบเหรียญ กินหรือไม่ล่ะ?”
เมื่อได้ยินราคา ฉินเหยียนโพล่งออกมาทันที
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ บะหมี่หนึ่งชามที่ไม่มีแม้แต่เครื่องปรุงใดๆ เจ้ากล้าคิดราคาห้าสิบเหรียญ เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปปล้นเลยเล่า?”
พนักงานรู้ว่าพวกเขายากจน จึงกลอกตาแล้วพูดแค่ว่า
“ก็ขายราคานี้ อยู่ที่ว่าเจ้าจะยอมกินหรือไม่”
หลังจากนั้น เขาก็หันหลังกลับและจากไป
ฉินเหยียนเองก็ไม่พูดมากให้เสียเวลา เขาหยิบถุงเงินออกมาวางกระแทกลงบนโต๊ะ และพูดอย่างข่มขู่ว่า
“เอามาให้ข้าสามชาม!”
เมื่อพนักงานได้ยินเสียงเงินกระทบโต๊ะ สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปทันที ทักทายและพูดอย่างเชื้อเชิญ
“บะหมี่ธรรมดาสามชาม ได้ขอรับ พวกท่านรอสักครู่”
หลังจากนั้นไม่นาน พนักงานก็เข้ามาวางบะหมี่
“บะหมี่มาแล้วขอรับ!”
เขาเดินอย่างรวดเร็วไปหาฉินเหยียนและคนอื่นๆ วางบะหมี่ธรรมดาสามชามลงบนโต๊ะ
“ค่อยๆ ทานขอรับ”
ฉินเหยียนไม่สนใจเขา คีบบะหมี่เข้าปาก
ตอนเช้าเขาขว้างกินใส่กองพันทหารม้าเสือดาว ทำให้ตอนนี้เขาหิวมาก กินไม่กี่คำ บะหมี่ในชามก็หมดลง
หลังจากที่เสี่ยวจิ่วติดตามฉินเหยียนมาระยะหนึ่งแล้ว นางจึงไม่ได้เกร็งมากนัก นางหยิบตะเกียบขึ้นมา กินบะหมี่อย่างมีความสุข พร้อมกับซุปร้อนๆ
มีเพียงโสเภณีเท่านั้นที่ยกชามขึ้นมาซดน้ำซุป แต่ไม่แตะเส้นบะหมี่เลยแม้แต่น้อย
ฉินเหยียนเห็นว่าโสเภณีไม่ใช้ตะเกียบ จึงถามออกไปว่า
“เหตุใดเจ้าถึงไม่กินเล่า เดี๋ยวก็เป็นก้อนหรอก”
โสเภณีก้มหน้าลงอย่างช้าๆ แล้วพูดด้วยความรู้สึกละอายใจ
“ข้ากินแค่ซุป เส้นข้าจะเก็บเอาไว้ให้ลูกชายข้ากิน”
ฉินเหยียนพูดโน้มน้าว
“เจ้ากินเถิด ก่อนออกไป ค่อยสั่งเพิ่มให้ลูกชายเจ้ากินตอนยังร้อนๆ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ โสเภณีคนนั้นจึงเงยหน้าขึ้น สายตาของนางเต็มไปด้วยความขอบคุณ
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ!”
หลังจากพูดเช่นนั้น นางจึงหยิบตะเกียบขึ้นและเริ่มกินทันที
เพิ่งเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ พนักงานจึงเดินไปข้างหน้าแล้วถามว่า
“เจ้ามีเงินหรือ?”
ผีพนันเฟิ๋ง “ตบ” โต๊ะ ยืดคอ และมองไปที่พนักงาน
“มีดเล่มนี้มีราคาหรือไม่?”
พนักงานหยิบมีดขึ้นมาดู แต่มีดกลับมีรอยบิ่น เขาพูดเยาะเย้ยทันที
“มีดเล่มนี้ของเจ้า ขนาดฆ่าหมูยังฆ่าไม่ได้เลย!”
ผีพนันเฟิ๋งหรี่ตามองและพูดอย่างอวดดีว่า
“ไม่รู้อะไรเสียแล้ว มีดเล่มนี้เอาไว้ฆ่าคน ใช้ง่ายมาก!”
พนักงานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ โยนมีดกลับไปที่โต๊ะ
“ไม่เอา”
ผีพนันเฟิ๋งตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น ข้าอยากกินบะหมี่แต่กลับกินไม่ได้!”
พนักงานทำหน้าตาเคร่งขรึม จากนั้นชี้ไปที่ประตูและพูดว่า
“เจ้า รีบออกไปเสียเดี่ยวนี้!”
“ช้าก่อน!”
ตอนที่ผีพนันเฟิ๋งกับพนักงานร้านกำลังมีปากเสียงกันนั้น ฉินเหยียนขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
พวกเขาทั้งสองมองไปตามเสียงนั้น เห็นฉินเหยียนยิ้มออกมาและพูดอย่างใจกว้างว่า
“โชคชะตาทำให้เราได้มาพบกัน ข้าจ่ายเงินให้เขาเอง นำบะหมี่มาให้เขาด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์
คนเขียนเก่งจริง ทำให้คนอ่านรู้สึกหงุดหงิดกับการตามหาลูกสาวของฉินเหยียน และจังหวะคาดที่จะได้เจอกันของเฝิงตู่กับฉินเหยียนจริงๆ ถ้าจะหากันจริงๆก็น่าจะทำง่ายป่ะ ประกาศหรือแจ้งข่าวไปว่าฮ๋องเหยียนต้องการพบปะเฝิ่งตู่นัดให้ไปเจอสักที่ตัวเองมีเครือข่ายทั่วอาณาจักรยังไงข่าวก็ต้องถึงหูอยู่แล้ว บัดเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเอาเลยพระเอกฉัน...
จบแล้วเหรอคะ ..จบแบบงงๆ...
จะมีต่อ..หรือจบแล้วครับ...
มีต่อมั๊ยครับ สนุกมากขอบคุณครับ...
รออ่านอยูนะครับสนุกมาก...
รออ่านดูนะครับ..เมตตาลงต่อเร็วหน่อยนะคะรับ รอแบบไม่มีกวังเลยครับตอนนี้ เงียบหลายวันมากๆ ขอความเมตตาช่วยลงให้อ่านด้วยครับ...
รอตอนที่ 631 อยู่นร้า...
รอตอนต่อไป…กำลังสนุก...
สนุกมากครับขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครับของคุณครับ...
มาแล้ว630...