องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 657

เนื่องจากเวิ่งเฉิงมีแต่ตรอกแคบๆเต็มไปหมด และเพราะมีร้านค้าอยู่มากมายจึงทำให้ถนนแคบเป็นอย่างมาก อีกทั้งที่นี่ยังเป็นสถานที่การค้าขายของคนทุกพื้นที่ จึงทำให้ถนนทุกเส้นมีผู้คนเป็นจำนวนมากกว่าพันคน การให้เฉิงเซินวิ่งไปมาที่นี่ โดยต้องคอยหลบผู้คนและต้องเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะสามารถฝึกฝนร่างกายและพัฒนาความเร็ว แถมยังสามารถพัฒนาการตอบสนองรวมถึงระดับความไวได้อีกด้วย เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลย

เฉิงเซินทำตามคำสั่งของกงซุนอู๋หมิง เขาก้าวเท้าแล้วพุ่งตัววิ่งไปมาอยู่ในเวิ่งเฉิงหลายรอบ เมื่อเดินผ่านฝูงชนและพ่อค้ามากมายแล้ว ภาพตรงหน้าก็ผุดขึ้นราวกับตัวอักษรที่วิ่งบนป้าย ในสายตาของเขามีแต่ถนนเส้นเล็กที่คดเคี้ยว ทำให้เขาเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ มุ่งไปด้านหน้าราวกับกำลังโบยบิน

มันเป็นแบบนี้ติดต่อกันถึงสามวัน เฉิงเซินเหนื่อยจนเหงื่อท่วมหัวทุกวัน ใบหน้าแดงก่ำ แต่กลับไม่เคยบ่นใดๆเลย เฝิงตู่เห็นความพยายามและความแน่วแน่ของเขา และอดที่จะรู้สึกประทับใจเล็กน้อย

เฝิงตู่คิดว่าแค่วันแรกก็สามารถทำให้เฉิงเซินท้อถอยไปได้แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะพยายามยืนหยัดต่อมาได้ กระทั่งการวิ่งหลายสิบรอบในเวิ่งเฉิงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ในระหว่างนี้หากเฉิงเซินวิ่งจนเหนื่อยแล้ว ทั้งสองก็จะไปดื่มน้ำชาที่ร้านเพื่อพักผ่อน

เมื่อเฉิงเซินวิ่งรอบเวิ่งเฉิงห้ารอบแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ร้านขายน้ำชาอย่างหอบ เขายกน้ำตาขึ้นแล้วดื่มจนหมด

เฝิงตู่ยิ้มมุมปาก “ใช้ได้เลยนี่ เข้มแข็งและมีความแน่วแน่!”

เฉิงเซินเช็ดปากแล้วถอนหายใจยาวๆ จากนั้นก็พูดต่อว่า “เมื่ออดทนต่อความยากลำบากได้เท่านั้น จึงจะเป็นคนที่ดีขึ้นได้”

คำพูดนี้ถูกใจเฝิงตู่อย่างมาก “พูดได้ดีมาก!”

ในขณะที่พูดเขาก็วางกระดาษข่าวสารลงบนโต๊ะแล้วยื่นมือไปตรงหน้าของเฉิงเซินพร้อมพูดอย่างจริงจังว่า “หนึ่งร้อยตำลึง”

เฉิงเซินยังตั้งสติไม่ได้ เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าปากแล้วพูดอย่างอึ้งๆว่า “หนึ่งร้อยตำลึงอะไรรึ?”

เฝิงตู่ใช้สายตาบอกเขาให้เปิดข่าวสารบนโต๊ะ

เฉิงเซินหยิบขึ้นมาแล้วเปิดอ่าน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ที่แท้ระหว่างนี้กงซุนอู๋หมิงก็ได้สืบหาตัวตนที่แท้จริงของแรงงานต่างถิ่นได้แล้ว อีกทั้งข้อมูลที่เขาให้มานั้นไม่ใช่ของพระราชสำนักเลย แต่มีใครจากสำนักใดที่มาที่ เซียนตูบ้าง เพราะเขาเป็นนักฆ่า สำหรับเขาแล้ว เขารู้ทุกอย่างในยุทธภพเลยก็ว่าได้

ตอนนี้เขาได้สืบค้นมาเรียบร้อยแล้วว่าคนที่เทือกเขาหัวซาน ส่งมาล้วนแต่งตัวเป็นผู้คุ้มกันสินค้า ส่วนคนที่เทือกเขาซงซานส่งมานั้นแต่งตัวเป็นพ่อค้าที่ขายพวกอาวุธ ส่วนคนที่เทือกเขาหวงซานส่งมาก็เดินเที่ยวอยู่ในเซียนตู

ในระยะเวลาสั้นๆนี้ไม่เพียงแต่จะแบ่งแยกทั้งสามสำนักได้ แถมยังสามารถบันทึกลักษณะรูปลักษณ์ของแต่ละสำนักเอาไว้ได้อย่างละเอียดด้วย เฉิงเซินรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก มันละเอียดกว่าข้อมูลที่เขามีเสียอีก ทุกอย่างละเอียดชัดเจนและเข้าใจง่าย

เฉิงเซินเก็บกระดาษข่าวสารทั้งสามแผ่นแล้วพูดด้วยใจจริง “ข้าจะไปเอาเงินให้เจ้าเดี๋ยวนี้”

เฝิงตู่ยิ้มอย่างพอใจ “ไปด้วยกันเถิด อย่าลืมละว่าเป็นสามร้อยตำลึง!”

เฉิงเซินเองก็ระมัดระวังขึ้นด้วย จากนั้นก็มองไปตามสายตาของกงซุนอู๋หมิง และพบว่าในห้องนั้นมีผู้เล่าเรียนอยู่หลายคน

เฝิงตู่อธิบายเบาๆว่า “คนพวกนี้คือไป๋เสี่ยวเซิงแห่งอาณาจักรหลู่ พวกเขานักสืบเรื่องของอาณาจักรหลู่ ที่ทำการบันทึกอันดับยุทธภพ พวกเขารู้ทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ในยุทธภพ”

เฉิงเซินตะลึง ไป๋เสี่ยวเซิงมาที่เซียนตู เพราะจะตรวจสอบผู้คนที่สัญจรไปมาในเซียนตูอย่างละเอียดแน่นอน ส่วนเป้าหมายคืออะไรก็ไม่แน่ชัด จะต้องรีบรายงานแก่นายท่านก่อนจะดีกว่า

เขาขมวดคิ้วแน่น และไม่สนเรื่องดื่มแล้วลุกขึ้นพูดว่า “นี่คือเรื่องใหญ่นะ อีกหนึ่งร้อยตำลึงที่ค้างเจ้า ข้าจะเอาให้พรุ่งนี้”

ว่าแล้วก็เก็บรายงานทั้งสี่ฉบับนั้นมุ่งตรงไปยังแผนกซวนจิงอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงเบื้องหน้าของฉีกุ้ยเหรินแล้ว เขาก็ได้ถวายรายงานที่กงซุนอู๋หมิงหามาให้

ฉีเยี่ยนเอ๋อร์เปิดอ่านทั้งสามฉบับแล้วตกตะลึงอย่างมาก เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆก็สามารถสืบหามาได้อย่างละเอียดเช่นนี้ คนธรรมดาไม่อาจทำได้จริงๆ

เมื่อฉบับสุดท้ายเกี่ยวกับไป๋เสี่ยวเซิงถูกเปิดอ่านแล้วฉีเยี่ยนเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้ว ทันใดนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์