องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 872

เรื่องของเสิ่นเฉิงทำให้เหล่านักวิชาการอาณาจักรหลู่ตะลึงอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์ทางการเมืองของอาณาจักรหลู่แล้ว ก็รู้สึกเห็นข้อด้อยกว่าอย่างชัดเจน

หลังจากนั้นฉินชงก็ได้ออกไปต้อนรับและจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เหล่านักวิชาการที่เดินทางมาไกลอย่างเคารพ

ในงานเลี้ยงฉินชงได้ถามตามคำสั่งของฉินเหยียนว่า

“เชื่อว่าทุกท่านคงได้รู้ระเบียบเกี่ยวกับอาณาจักรฉินบ้างแล้ว ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์เก้าดอกบัวขอให้ข้าถามทุกท่าน ว่าอยากจะเรียนที่อาณาจักรฉินต่อ หรืออยากจะกลับไปพัฒนาที่อาณาจักรหลู่ แล้วแต่ทุกท่านจะปรารถนา”

นักวิชาการอาณาจักรหลู่หลายคนรีบตอบกลับทันทีว่า

“ข้าจะเรียนต่อที่อาณาจักรฉิน เมื่อมาครั้งนี้แล้วข้าถึงได้เห็นความต่างชั้นของทั้งสองอาณาจักร ศึกษาเรียนรู้ความรู้เหล่านี้ เพื่อเอาจุดแข็งของคนอื่นมาปรับปรุงจุดด้อยของเรา”

“ข้าเองก็อยากจะเรียนต่อที่อาณาจักรฉิน เมื่อเรียนรู้แล้วค่อยกลับไปพัฒนาอาณาจักรหลู่”

ยังมีคนส่วนน้อยที่เมื่อเห็นความต่างชั้นของอาณาจักรหลู่และอาณาจักรฉินแล้วรู้สึกท้อแท้ใจอย่างมาก สิ่งที่พวกเขาภูมิใจกลับเทียบเด็กที่เล่าเรียนอยู่ไม่ได้เลย แล้วยังจะเรียนอะไรอีก รีบกลับไปปลูกข้าวทำนาจะดีกว่า

เมื่องานเลี้ยงจบลงแล้ว เหล่านักวิชาการที่อยากจะกลับอาณาจักร ไม่อยากอยู่พัฒนาในอาณาจักรที่ตนเองเข้าไม่ถึงนี้ ก็ได้เดินทางกลับอาณาจักรหลู่ทันที

ในระหว่างที่กลับ ซือหม่าจี๋เองก็มีความคิดที่เปลี่ยนไป เมื่อเทียบกับอาณาจักรฉินแล้ว อาณาจักรหลู่ล้าหลังจริงๆ หากมองในมุมของชาวเมือง การให้อาณาจักรฉินเข้ามาพัฒนาอาณาจักรหลู่แทน อาจเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้

เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วซือหม่าจี๋จะหนุนคลื่นลมให้สูง เขาได้เขียนจดหมายราวหนึ่งแสนตัวอักษร และได้ตั้งชื่อไว้ว่าบันทึกการเดินทางอาณาจักรฉิน เพื่อจะนำไปให้ฮ่องเต้หลู่ได้ดู

......

อาณาจักรหลู่

ตั้งแต่ที่ท่านผู้อาวุโสสิ้นอายุขัยไป ก็ไม่มีผู้ใดติดตามฮ่องเต้หลู่อีก ความน่าเกรงขามแห่งฮ่องเต้ก็ได้หายไปทันที เขาไร้ชีวิตชีวา แต่ก็ยังคงไปเข้าพระราชสำนักในยามเช้าทุกวันเหมือนเดิม นั่งเหม่ออยู่ในตำหนักจินหลวนที่ว่างเปล่า ฮ่องเต้อย่างเขาในตอนนี้ จะมีหรือไม่มีก็ได้

บางครั้งออกไปพักผ่อนหย่อนใจโดยปิดบังตัวตน ภาพที่เห็นก็มีแต่ความเปล่าเปลี่ยว ทั่วทั้งเผิงหลายแทบจะไม่มีคนอยู่เลย คนส่วนใหญ่ต่างก็หนีไปเติบโตกันที่หัวถิงแล้ว เหลือก็แต่พวกคนชราที่อ่อนแอเป็นโรคที่ดิ้นรนเพื่อให้รอดชีวิต

ฮ่องเต้ฉินมีชีวิตอยู่ต่อก็เพื่อจะคอยดูคำทำนายของท่านผู้อาวุโส ต้องได้เห็นอาณาจักรฉินล่มสลายจึงจะพอใจ แต่เมื่อเขาได้รับบันทึกการเดินทางอาณาจักรฉินของซือหม่าจี๋แล้ว ก็รู้ว่าที่แท้อาณาจักรที่เขาพยายามดูแลมาอย่างลำบากนั้น กลับเทียบอาณาจักรฉินไม่ได้เลย ความเชื่อของเขาถูกทำลายอีกครั้ง เขาพึมพำอย่างลังเลว่า

“อาณาจักรฉินรุ่งเรืองมากเพียงนี้ แล้วจะล่มสลายตามคำทำนายของท่านผู้อาวุโสจริงๆรึ?”

......

อาณาจักรฉิน

“ทุกท่านเชิญนั่ง หม้อไฟบนโต๊ะมีชื่อว่าหม้อไฟสุกี้เสฉวน ทางด้านสีแดงๆคือรสหมาล่า ส่วนอีกด้านคือซุปกระดูกบำรุง”

นักวิชาการอาณาจักรหลู่เพิ่งเคยเห็นหม้อแบบนี้ครั้งแรก มีบางคนที่สังเกตลักษณะของหม้ออย่างจริงจัง ส่วนบางคนก็เข้าไปดมกลิ่นหอมของซุป

“โอ้ น้ำมันสีแดงนี่ช่างแสบจมูกจริงๆ!”

“ด้านซุปกระดูกหอมจริงๆ!”

ฟางเจาจวินปรบมือสองครั้ง แล้วผู้ใต้บังคับบัญชาตำหนักอ๋องเหยียนก็ได้ยกอาหารหลากหลายขึ้นมาวาง เมื่อผักสดสีเขียวๆเอามาวางบนโต๊ะแล้ว เหล่านักวิชาการอาณาจักรหลู่ก็เบิกตากว้างทันที

“พระเจ้า นี่มันผักสดใหม่!”

“ฤดูหนาวเพิ่งจะผ่านไป เหตุใดฤดูนี้จึงมีผักสดใหม่ได้?”

ต้องเข้าใจว่าการเก็บรักษาอาหารของคนโบราณมีจำกัด โดยเฉพาะในฤดูหนาว นอกจากเหล่าราชวงศ์แล้ว แม้แต่อาหารของขุนนางก็ยังไม่ค่อยมีผักใบเขียวเลย

อีกทั้งอากาศของอาณาจักรยังต่ำว่าอากาศในอาณาจักรหลู่เสียอีก ตอนนี้เพิ่งผ่านฤดูหนาวไป ยังไม่สามารถทำการเพาะปลูกผักได้ แล้วผักสดใหม่นี้มาจากที่ใดกัน?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์