ผู้เข้าแข่งขันเข้าเส้นชัยไปทีละคน ผู้ชมที่ยู่รอบข้างต่างส่งเสียงให้กำลังใจอย่างตื่นเต้น
“ที่หนึ่งวิ่งเร็วมาก!”
“เป็นการแข่งขันที่ตื่นเต้นมากจริงๆ!”
“น่าเสียดาย ช้าไปนิดเดียว!”
นักวิ่งสามอันดับแรกที่เข้าเส้นชัยโบกมือใช้ผู้ชมอย่างตื่นเต้นเช่นกัน
หลังจากนั้น พนักงานได้เข้ามานำตัวนักกีฬาที่เข้าเส้นชัยสามอันดับแรกขึ้นบนเวที ยืนเรียงลำดับหนึ่ง สอง สาม
เหรียญรางวัลอันดับสามเป็นเหรียญทองแดง เหรียญรางวัลอันดับสองเป็นเหรียญเงิน เหรียญรางวัลอันดับหนึ่งเป็นเหรียญทอง
ฟางเจาจวินมมอบเหรียญรางวัลให้แก่ผู้ชนะทั้งสามอันดับด้วยตนเองพร้อมกับพูดแสดงความยินดี
“ดีใจกับพวกเจ้าด้วย!”
ทั้งสามอันดันหยิบเหรียญที่ห้อยรอบคอขึ้นมาแสดงให้ผู้ชมโดยรอบมองอย่างภูมิใจ
เสียงปรบมือจากผู้ชมดังก้องไปทั่ง และบรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น
สีหน้าของผู้ชนะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขากัดเหรียญทองแล้วพูดอย่างประหลาดใจว่า
“เป็นทองจริงๆ ด้วย!”
ฟางเจาจวินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ต้องเป็นทองสิ นี่คือรางวัลสำหรับผู้ชนะ”
ทันทีที่ประโยคเหล่านี้หลุดออกมา ไม่เพียงแต่นักกีฬาเท่านั้น แต่ผู้ชมโดยรอบเองก็ตกใจ
“พระเจ้า อันดับหนึ่งได้เหรียญทองที่ทำจากทองจริงๆ!”
“คณบดีฟางใจกว้างเกินไปแล้ว!”
“ครั้งต่อไปเราต้องพยายามให้เต็มที่เพื่อให้ได้เหรียญทอง!”
ด้วยวิธีนี้ นักกีฬาทุกคนจึงเข้าร่วมแข่งขันกีฬากันอย่างเต็มที่ แข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งเหรียญทอง
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะล้มเหลวในการคว้าเหรียญทอง แต่ความเพลิดเพลินระหว่างการแข่งขันแสดงให้เห็นถึงน้ำใจนักกีฬา และผลักดันให้การแข่งขันกีฬาก้าวสู่อีกรดับ
ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความหวังและมีชีวิตชีวา นักเรียนที่มาจกทั่วทุกสารทิศในจิ่วโจวรู้สึกว่าตนได้รับการยอมรับเป็นครั้งแรก
ครั้งที่อยู่ในอาณาจักรของตน เขาเป็นเพียงหนึ่งในชีวิตจำนวนมาก ไม่ได้เห็นค่าตัวเองมากเท่าไรนัก
แต่เนื่องจากพวกเขามายังอาณาจักรฉิน พวกเขาได้มารวมตัวกับคนทุกอาณาจักรในเมืองจิ่วโจวเพื่อเรียนรู้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และร่วมแข่งขันกีฬา ทำให้เขาได้รับประสบการณ์ใหม่ ราวกับว่านี่เป็นบ้านหลังที่สองของเขา
แต่การพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและกะทันหันของเมืองจิ่วโจว ทำให้จิตใจของฮ่องเต้หลู่สั่นคลอนอีกครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าตอนนี้อาณาจักรฉินได้พัฒนาไปถึงจุดที่เจริญรุ่งเรือง แม้แต่ฉินเหยียนไม่จำเป็นต้องดูแล
หลังจากฮ่องเต้หลู่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในใจพลันสับสน ในที่สุดจึงตัดสินใจเดินทางไปยังอาณาจักรฉินเพื่อค้นหาความจริงด้วยตัวเอง
หลังจากปลอมตัวเป็นสามัญชนแล้ว เขาพาหัวหน้าขันทีหลี่ไปกับเขาเพียงคนเดียว พวกเขานั่งเรือมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรฉินโดยใช้ชื่อปลอม
บนเรือที่โคลงเคลงไปมา ฮ่องเต้หลู่ยืนอยู่ที่หัวเรือ มองดูผิวน้ำที่ไหวเป็นระลอกไม่มีที่สิ้นสุด ทิวทัศน์สวยงาม ภูเขาเขียวทั้งสองข้างทาง แต่ในใจเขากลับหนักอึ้ง
เมื่อไม่นานมานี้ ซือหม่าจี๋ได้มอบหนังสือเดินทางของอาณาจักรฉินให้เขา เนื้อหาภายในช่วยให้เขาเปิดหูเปิดตา หากซือหม่าจี๋ไม่ได้เป็นขุนนาง เขาคงคิดว่าเนื้อหาการเดินทางไปยังอาณาจักรฉินคงเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นเอง
แม้ว่าอาณาจักรฉินจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่คงไม่มีวันไปถึงระดับนั้น
ขณะที่เขากำลังคิดเรื่อง ขันทีหลี่เดินมาพร้อมเสื้อคลุม พูดขณะสวมเสื้อคลุมให้เขาว่า
“ฝ่าบาท อากาศเย็นและลมแรง จะเป็นหวัดเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หลู่ยอมให้ขันทีหลู่สวมเสื้อคลุมให้เขา สายตายังคงเต็มไปด้วยความซับซ้อน ในใจของเขาคาดเดาแต่เรื่องราวในอาณาจักรฉิน
ขันทีหลี่เตือนว่า
“ฝ่าบาท อีกไม่ถึงสิบลี้ เราจะเข้าสู่เขตอาณาจักรฉินแล้ว”
หลังจากถูกเตือน ฮ่องเต้หลู่พลันกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ตอนนี้เขาต้องเดินทางไปยังอาณาจักรฉินเพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์
คนเขียนเก่งจริง ทำให้คนอ่านรู้สึกหงุดหงิดกับการตามหาลูกสาวของฉินเหยียน และจังหวะคาดที่จะได้เจอกันของเฝิงตู่กับฉินเหยียนจริงๆ ถ้าจะหากันจริงๆก็น่าจะทำง่ายป่ะ ประกาศหรือแจ้งข่าวไปว่าฮ๋องเหยียนต้องการพบปะเฝิ่งตู่นัดให้ไปเจอสักที่ตัวเองมีเครือข่ายทั่วอาณาจักรยังไงข่าวก็ต้องถึงหูอยู่แล้ว บัดเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเอาเลยพระเอกฉัน...
จบแล้วเหรอคะ ..จบแบบงงๆ...
จะมีต่อ..หรือจบแล้วครับ...
มีต่อมั๊ยครับ สนุกมากขอบคุณครับ...
รออ่านอยูนะครับสนุกมาก...
รออ่านดูนะครับ..เมตตาลงต่อเร็วหน่อยนะคะรับ รอแบบไม่มีกวังเลยครับตอนนี้ เงียบหลายวันมากๆ ขอความเมตตาช่วยลงให้อ่านด้วยครับ...
รอตอนที่ 631 อยู่นร้า...
รอตอนต่อไป…กำลังสนุก...
สนุกมากครับขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครับของคุณครับ...
มาแล้ว630...