เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชา
ผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)]
ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่า
เฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนาง
มีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็น
หลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่ง
เพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจาย
ฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”
เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่าการกระทำของนางในยามนี้แตกต่างจากนิสัยของร่างเดิมอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนางจำเป็นจะต้องมีข้อแก้ตัวให้การกระทำของตัวเอง
ด้วยเหตุนี้เอง มือที่กุมมีดของนางจึงสั่นระริก ดวงตาที่เหลือบมองฮว๋าซื่อแฝงไว้ด้วยความขี้ขลาดและบ้าคลั่งอยู่หลายส่วน
นางเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “อ๋องฉู่บอกกับข้าว่าหากอยากมีชีวิตรอด ก็ต้องโหดเหี้ยมสักหน่อย”
“หากเขาเห็นข้าถูกใครรังแก เขาจะฆ่าข้าทิ้ง!”
หลินหว่านถิงที่นั่งถัดจากฮว๋าซื่อได้ยินประโยคนี้เข้าไป จู่ๆ ภาพที่เฉินเยี่ยนเซิงถูกจิ่งโม่เยี่ยใช้มีดคว้านปากก็ลอยเข้ามาในสมองเสียอย่างนั้น
อีกอย่างวันนี้ก่อนที่จิ่งโม่เยี่ยจะจากไป เขาก็เดินไปกระซิบบางอย่างข้างหูของเฟิ่งชูอิ่งจริงๆ
หากเป็นจิ่งโม่เยี่ย ก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะพูดอะไรทำนองนี้ออกมา
ฮว๋าซื่อตบโต๊ะเอกสารเล็กๆ ตรงหน้าแล้วพูดอย่างโมโห “เหลวไหลทั้งเพ อ๋องฉู่ไม่มีทางพูดอะไรแบบนั้นออกมาหรอก!
“คงเพราะเจ้าไม่อยากจะถูกสั่งสอนน่ะสิ ก็เลยหาข้ออ้างในการลงมือทำร้ายคน!”
เฟิ่งชูอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว “หากท่านป้าไม่เชื่อ ก็ลองไปถามท่านอ๋องฉู่สิเจ้าคะ”
ฮว๋าซื่อ “......”
คนทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ดีว่าอ๋องฉู่ป่วยเป็นโรคประหลาด อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ทำอะไรตามใจตัวเองทุกอย่าง ใครจะกล้าไปหาเรื่องเขากันละ
ฮว๋าซื่อพร้อมจะเล่นงานเฟิ่งชูอิ่งทุกวิถีทาง แต่กลับไม่กล้าไปร้องขอหลักฐานต่อหน้าอ๋องฉู่
นางเอ่ยเสียงเย็นชา “ชักจะกำเริบใหญ่แล้วนะ เป็นกุลสตรีในห้องหอ แต่กลับหนีตามผู้ชายทำตัวมั่วโลกีย์ ข้ามีฐานะเป็นผู้ใหญ่ เหตุใดจะสั่งสอนเจ้าไม่ได้!
“เจ้าส่องกะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างเถอะว่ายามนี้มีสภาพเช่นไร ชื่อเสียงจวนสกุลหลินของพวกเราถูกเจ้าทำลายหมดแล้ว!
“ยึดตามธรรมเนียมของจวนสกุลหลิน เจ้าจะต้องถูกลงโทษด้วยกฎตระกูล พวกเจ้าจงไปนำกฎตระกูลมา!”
ข้ารับใช้ที่อยู่ตรงประตูตอบรับคำสั่ง
กฎตระกูลของจวนสกุลหลินคือแส้ยาวที่มีหนามแหลมทั่วทั้งเส้น เพียงฟาดแส้ลงไปครั้งเดียว คนที่ถูกโบยก็จะเนื้อแตกเป็นแผลเหวอะหวะ
ฮว๋าซื่อไม่ได้บอกว่าจะโบยเฟิ่งชูอิ่งกี่ครั้ง หมายความว่านางต้องการโบยเฟิ่งชูอิ่งให้ถึงตาย
เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงเย็นชา “หยุดนะ!”
ข้ารับใช้หันขวับมามองนาง ส่วนนางก็มองสบตาฮว๋าซื่อ “ท่านป้า ข้าแซ่เฟิ่ง ไม่ได้แซ่หลิน กฎตระกูลของที่นี่ไม่อาจใช้กับข้าได้”
ฮว๋าซื่อชะงักไปเล็กน้อย นางรังแกเฟิ่งชูอิ่งจนเคยตัว จึงหลงลืมเรื่องนี้ไปนานมากแล้ว
หลินหว่านถิงที่อยู่ข้างๆ จึงเอ่ยแทรก “แม้น้องสาวจะไม่ได้ใช้แซ่หลิน แต่หลายปีมานี้ก็อาศัยอยู่กินที่จวนสกุลหลินมาโดยตลอด จึงถือว่าเป็นคุณหนูสกุลหลินคนหนึ่ง
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น กฎตระกูลของจวนสกุลหลินก็เหมาะจะใช้กับเจ้าแล้วละ”
เพราะแผนการในวันนี้ล้มเหลว แล้วยังถูกจิ่งโม่เยี่ยทำให้หวาดกลัวจนเสียขวัญอีก นางจึงข่มกลั้นความหงุดหงิดเอาไว้ตั้งนานแล้ว
พอเห็นว่าเฟิ่งชูอิ่งกล้าโต้ตอบขัดขืน นางก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่
หากไม่ใช่เพราะในมือของเฟิ่งชูอิ่งถือมีดอยู่ นางคงปรี่เข้าไปตบสั่งสอนอีกฝ่ายแล้ว
ตอนนี้นางต้องการแค่เหตุผลดีๆ ในการลงมือเท่านั้น ก็จะกำจัดเฟิ่งชูอิ่งให้พ้นทางได้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี