บุตรีอนุผู้ถูกทอดทิ้ง นิยาย บท 3

3 : ยืมกระโถนฉี่ข้างบ้าน

หลังเข้ามาอยู่ในห้องนอนแล้ว สองแม่ลูกกลับพบปัญหาใหญ่ ไม่มีน้ำสะอาดให้ใช้ เฉาซูหลิ่งถึงกับน้ำตาคลอเบ้า นางทำความสะอาดจนเนื้อตัวสกปรกไปหมด ต้องการอาบน้ำให้สดชื่น

ขณะที่ผู้เป็นบุตรสาวนั้น กำลังเป็นกังวลกับห้องสุขาของที่นี่ สภาพผุพังเช่นนั้น เข้าไปทำธุระไม่ได้แล้ว

“ช่างหัวน้ำมันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยหาทางเอา เหยาเอ๋อร์หากเจ้าปวดเบา ก็ใช้กระโถนไปก่อนก็แล้วกัน”

เฉาซูหลิ่งตัดใจจากน้ำสะอาด โชคดีที่ถุงน้ำของนางกับบุตรสาว ยังพอมีน้ำเหลืออยู่ นำมาเทใส่ผ้าสะอาด เช็ดหน้าตาไปก่อนได้

“ท่านแม่กระโถนที่ว่านั่นอยู่ที่ไหนกัน” หลี่เมิ่งเหยาเห็นเพียงเตียงเก่า ๆ หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ภายในห้อง

“มันต้องมีสิ แม่ไปหาห้องอื่นดูก่อน”

หลังจากมองหากระโถนฉี่ให้บุตรสาวไม่พบ นางก็รีบเดินออกไปยังห้องอื่น

อย่าว่าแต่กระโถนฉี่ไม่มีเลย กระทั่งตะเกียงกับหินจุดไฟก็หาไม่เจอ นางรีบเดินกลับมาหาบุตรสาวในห้อง สีหน้าจนหนทางแล้วจริง ๆ

“ท่านแม่อีกหน่อยฟ้ามืดสนิทจะแย่เอานะเจ้าคะ” เอ่ยแล้วรอดูว่ามารดาของตนจะทำอย่างไร

“มืดก็ช่างสิ เข้านอนเร็วหน่อยก็แล้วกัน หากปวดเบาจริง ๆ เราค่อยคลำทางไปปลดทุกข์ ตรงสวนข้างหลังนี่ก็ได้”

อืม สติปัญญาของท่านมีเท่านี้จริง ๆ รึ

“ท่านแม่ท่านรออยู่นี่แหละ ข้าจะลองไปถามเรือนด้านข้างนี่ดู” หลี่เมิ่งเหยาเอ่ยขึ้นในที่สุด

“มีคนอยู่ด้วยรึ เงียบขนาดนั้น”

“ข้าไปดูก่อนก็แล้วกัน ท่านไม่ต้องไปหรอก ข้าเป็นเด็กคนพบเห็น ย่อมให้ความช่วยเหลือได้ง่าย หากท่านไปเกรงว่าหน้าตางาม ๆ อย่างท่าน จะทำให้ผู้อื่นหลงเข้าใจผิดได้”

เฉาซูหลิ่งมองบุตรสาวเหมือนเห็นตัวประหลาด

“เหยาเอ๋อร์เหตุใดเจ้าพูดจาฉะฉานเพียงนี้”

ก่อนหน้าเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาผู้คน ไหนเลยจะกล้าต่อปากต่อคำกับนาง เหมือนในตอนนี้

“ท่านคิดมากไปแล้ว เดี๋ยวข้ากลับมา” นางรีบเดินออกจากเรือนไป

ก่อนจะมืดไปกว่านี้ ต้องรีบหายืมตะเกียงเพื่อนบ้านให้ได้เสียก่อน ประตูเรือนด้านข้างที่มีกำแพงฝั่งขวาติดกับเรือนของนาง ไม่รู้ว่าเจ้าของเป็นใคร หลี่เมิ่งเหยารีบยื่นมือออกไปจับห่วงประตูรูปหัวสิงห์ เคาะเบา ๆ ด้วยความเกรงใจ ไม่ช้ามีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งเดินออกมาเปิดให้

“เจ้าเป็นใคร”

“เอ่อ พี่ชายข้าเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนด้านข้างนี้ เนื่องจากเดินทางมาอย่างฉุกละหุก จึงไม่ได้เตรียมตะเกียงกับหินจุดไฟมาด้วย พี่ชายท่านพอจะมีของให้ข้าหยิบยืมหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าจะรีบเอามาคืน”

คุณปู่สอนว่ายามขอร้องผู้อื่น ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ ยามนี้นางจึงยืนตัวเล็กตัวลีบ ทำหน้าตาใสซื่อให้สมกับวัย ของเด็กสาวเจ้าของร่างเดิม แต่ชายผู้นี้ดูเหมือนไม่ค่อยไว้วางใจนาง

ฉีห้าวตงเดินออกมาสำรวจดูรอบ ๆ บริเวณหน้าประตู เกรงว่าจะมีผู้อื่นใช้แม่นางน้อยผู้นี้ มาหลอกล่อคุณชายของตนเอง เมื่อไม่เห็นมีสิ่งผิดปกติใด เขาจึงหันไปเอ่ยกับนาง

“เจ้ารออยู่หน้าประตูนี่แหละ ข้าจะเข้าไปถามคุณชายก่อน”

“ได้เจ้าค่ะ”

อีกฝ่ายหันหลังจากไป พร้อมกับบานประตูที่ปิดลง

มีแขกไม่เชิญเข้าบ้าน ท่าทางระแวดระวังเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นคนไม่ดี คิดแล้วก็หันไปมองเรือนหลังที่อยู่ฝั่งซ้าย นั่นยิ่งไม่มีแม้แต่แสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน เกรงว่าคงไม่มีผู้อยู่อาศัย

หยวนเหวินเซียวมองผู้เข้ามารายงาน ด้วยสีหน้าประหลาดใจ เดิมทีเรือนของเขาไม่เคยมีใคร มาเคาะประตูเหมือนในวันนี้ วางถ้วยชาที่เพิ่งจิบลงบนโต๊ะ

“เจ้าบอกว่าใครมานะ”

ฉีห้าวตง “เป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งขอรับ บอกว่าเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่เรือนด้านข้าง ที่เรือนของนางไม่มีตะเกียงกับหินจุดไฟ เลยอยากมาขอยืมขอรับ”

ซ่งหลินต๋า “น่าจะเป็นบุตรสาวของเรือนหลังนั้นขอรับ”

“เหตุใดใช้เด็กสาวมาขอยืมตะเกียงจากบ้านบุรุษ ไม่รู้จักความเหมาะสมเอาเสียเลย แล้วเด็กนั่นอยู่ไหนแล้วล่ะ” หยวนเหวินเซียวอดตำหนิมารดาของนางไม่ได้

“ข้าให้นางรออยู่หน้าประตูใหญ่ขอรับคุณชาย”

เพราะคุณชายของเขาไม่ชอบสตรี พวกนางมักนำแต่ปัญหามาให้ จึงมีกฎห้ามสตรีที่ไม่รู้จักเข้าใกล้

“ให้นางเข้ามาพบข้าที่ห้องโถงรับแขก ต้อนรับนางให้เป็นทางการ อย่าให้ผู้อื่นนำไปติฉินนินทาเอาได้” หยวนเหวินเซียวไม่อยากมีปัญหาภายหลัง

“ขอรับคุณชาย” ฉีห้าวตงน้อมคำนับรับคำสั่ง

ไม่ช้าฉีห้าวตงก็เดินนำหน้าเด็กสาว เข้ามายังห้องโถงรับแขก หยวนเหวินเซียวนั่งรออยู่บนเก้าอี้ ด้านหลังของเขามีซ่งหลินต๋ายืนอยู่ด้วย

หลี่เมิ่งเหยาลอบสังเกตเรือนหลังนี้ ดูไปแล้วมีแต่บุรุษทั้งนั้น ที่อยู่ด้านนอกสองคนนั้น เหมือนเป็นผู้คุ้มกันทั่วไป ส่วนคนที่เชิญนางเข้ามา ดูเหมือนจะมีตำแหน่งเหนือกว่าคนด้านนอก

คนนั่งบนเก้าอี้มีดวงตาค่อนข้างคมดุ แต่ก็รับกับคิ้วหนาเข้มเฉียงได้รูป ใบหน้านับได้ว่าหล่อเหลาอยู่ไม่น้อย รัศมีรอบกายดูเป็นเจ้านายของทุกคนที่นี่ ดูไปแล้วอายุคงไม่เกินยี่สิบปี

นางนึกสรรพนามที่ใช้แทนตัวเองก่อนหน้า รีบประสานมือน้อมศีรษะลง

“เหยาเอ๋อร์คำนับคุณชายเจ้าค่ะ”

นางเรียกเขาแบบนี้ไปก่อน

หยวนเหวินเซียวหน้าตึงในทันที “ข้ากับเจ้าไม่ได้สนิทกัน อย่าแทนชื่อตัวเองกับข้าเช่นนั้น นี่เจ้ามีชื่อแซ่ว่าอะไร”

นี่รังเกียจนางหรอกรึ

“ข้าชื่อหลี่เมิ่งเหยาเจ้าค่ะ แล้วท่านเล่ามีชื่อเสียงเรียงนามอันใด”

อีกฝ่ายถึงกับผงะ “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”

อ้าว เจ้ารู้ชื่อข้าได้ แต่ข้ารู้ชื่อเจ้าไม่ได้ นี่มันตรรกะอะไรกัน

นางเผลอทำตัวเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็ก จ้องหน้าเขาตรง ๆ อย่างไม่หวั่นกลัว

“ไม่อยากยืมของแล้วหรือ”

แต่พอเขาเอ่ยเท่านั้นแหละ นางรีบกลืนความโกรธลงท้องไป ฉีกยิ้มอย่างใสซื่อ

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรีอนุผู้ถูกทอดทิ้ง