“ฉินเหยี่ยนเย่ว์ มีเพียงเจ้า ที่ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงชื่อนั้น” น้ำเสียงของตงฟางหลีเย็นชา
เขาบีบคอแน่นขึ้น สีหน้าของฉินเหยี่ยนเย่ว์เปลี่ยนเป็นสีม่วงเนื่องจากหายใจไม่ออก
ฉินเหยี่ยนเย่ว์หายใจไม่ออก พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก จนสามารถมองเห็นใบหน้าของเขา ดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน
เธอมองความโศกเศร้าจากนัยน์ตาคู่นั้นออก
มองออกถึงความอดกลั้นและโกรธแค้น จากใบหน้าที่คอยรักษาสีหน้าสบาย ๆ นั้นมาตลอด
“เวลาไม่อาจย้อนคืนได้ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วผู้ใดก็ไม่สามารถแกไขได้ แต่ อนาคตสามารถแก้ไขได้ หม่อมฉันกับท่านอ๋องยังบริสุทธิ์ ภายภาคหน้าก็จะเป็นเช่นนั้น พวกเราแค่จำต้องเล่นละครตบตาบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมแล้วค่อยแยกทางกัน ท่านก็คือท่าน หม่อมฉันก็คือหม่อมฉัน พวกเราต่างคนเลือกชีวิตของตนเอง มีอะไรที่เป็นไปมิได้หรือเพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าว
“สิ่งที่ติดค้างท่าน ข้าจะชดใช้ให้ สิ่งที่ติดค้างหม่อมฉัน หม่อมฉันจะทวงกลับมาแน่นอนเพคะ”
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?” ตงฟางหลีเอ่ยปากน้ำเสียงจริงจัง
“ฉินเหยี่ยนเย่ว์”
“เจ้ามิใช่นาง” ตงฟางหลีกล่าว
“อันที่จริงคงมิใช่ คนที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งแล้วฟื้นคืนชีพอีกครั้ง หม่อมฉันเป็นฉินเหยี่ยนเย่ว์คนใหม่ คำตอบข้อนี้ท่านพึงใจหรือไม่” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ย
ตงฟางหลีหรี่ดวงตา มือที่บีบคอของฉินเหยี่ยนเย่ว์เอาไว้ยิ่งออกแรงมากกว่าเดิม
เขาเข้ามาใกล้ตัวนาง น้ำเสียงเย็นยะเยือก “อันที่จริงหลังจากงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ข้าก็ได้ครุ่นคิดนับครั้งไม่ถ้วน อยากจะบีบคอเจ้าให้ตายด้วยมือตนเอง”
ความรู้สึกหายใจไม่ออกที่รุนแรงขึ้นมา สีหน้าของฉินเหยี่ยนเย่ว์แย่ลงเรื่อย ๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดอากาศถึงขีดสุด หัวสมองของนางเกิดความสับสน
“ตงฟางหลี หม่อมฉันน่าจะบอกกับท่านได้ชัดเจนแล้ว ต่อให้หม่อมฉันติดค้างเรื่องอันใดกับท่าน ก็ไม่ควรกลายเป็นเหตุผลที่ต้องถูกข่มเหงรังแก ปล่อยหม่อมฉัน” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พยายามสุดชีวิตกว่าจะพูดคำเหล่านี้ออกมาได้
“ท่านบีบคอข้าให้ตาย ท่านก็จะมีความผิดฐานฆ่าคนตาย แก้ไขเรื่องใด ๆ มิได้ ในทางกลับกันท่านกับนางก็จะยิ่งห่างกันไปเรื่อย ๆ...แค่กแค่ก”
ตงฟางหลีออกแรงมากเกินไป ตอนแรกเริ่มยังพอฝืนอ้าปากพูดได้ เมื่อถึงตอนหลัง แทบจะไม่สามารถพูดออกมาได้
ความรู้สึกเกือบใกล้ความตายโจมตีมาเป็นระลอก ๆ หัวใจของนางกำลังบีบรัดแน่น ในมือกำมีดเล่มหนึ่งเอาไว้แน่น
มีดเล่มนั้นเป็นมีดนางหาเจอจากด้านในกล่องสินสมรส บางและคมมาก สามารถใช้ป้องกันตัวได้
คิดไม่ถึงว่าจะได้นำออกมาใช้ประโยชน์ในสถานการณ์แบบนี้
จุดที่มีดไปถึง ก็คือเส้นชีพจรของตงฟางหลี เพียงแค่กรีดเบา ๆ ทีหนึ่ง เขาก็จะไปสู่สุขคติทันที
ในช่วงเวลาคับขัน ทันใดนั้นมือของตงฟางหลีก็คายออก
อาการสดชื่นพลั่งพรูเข้ามา ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไอสองสามที ออกแรงสูดอากาศที่หายไปนาน
เดิมทีร่างกายนี้มีภาวะบกพร่องแต่กำเนิด ผ่านการทรมานติดต่อกันหลายรอบ จึงอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างยิ่ง ล้มนอนบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง
ตงฟางหลีกลับมามีท่าทีที่เย็นชาตามปกติ ความอำมหิตและโหดร้ายเมื่อครู่นี้ ราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เขาจ้องมองนางที่หายใจโรยแรงหลายครั้ง ทันทีที่สะบัดแขนเสื้อ ก็สาวเท้ายาวเดินมุ่งหน้าไปที่ประตู
ตอนที่เดินใกล้ถึงประตู น้ำเสียงเบาของฉินเหยี่ยนเย่ว์ก็ลอยมา “ยินดีกับท่านอ๋องที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ครั้งหนึ่งนะเพคะ”
ตงฟางหลีหันหน้ากลับไปมองเห็นมีดลักษณะคล้ายใบหลิวเล่มหนึ่งในมือของนางกำลังส่องประกายแวววาว เขาหรี่ดวงตาลง “เมื่อครู่นี้เจ้า คิดจะสังหารข้าอย่างนั้นรึ?”
“ช่างน่าขัน ท่านอ๋องก็คิดจะสังหารหม่อมฉันเช่นกันมิใช่รึเพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าว
“ท่านสังหารหม่อมฉัน อาจจะสบายใจ แต่เรื่องราวรังแต่จะเลวร้ายลง นี่มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาด” น้ำเสียงของนางแหบแห้ง “หม่อมฉันกล่าวตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วว่า สิ่งที่หม่อมฉันติดค้างท่าน จะต้องชดใช้ให้ท่านด้วยวิธีที่ท่านพึงพอใจแน่นอนเพคะ หม่อมฉันขอรับรอง แต่ ในช่วงเวลานี้ มิควรมีผู้ใดใช้เหตุผลใดก็ตามแต่เพื่อมารังแกหม่อมฉัน แม้แต่ท่านอ๋องก็มิใช่ข้อยกเว้นเพคะ”
ตงฟางหลีไม่ตอบโต้ สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
หลังจากที่เขาเดินออกไป แจกันดอกไม้ที่มุมกำแพงก็เกิดเสียงดังเพล้งขึ้น จากนั้น แจกันดอกไม้ที่เคยอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก็แตกละเอียด เศษกระเบื้องกระจายเต็มพื้น
ไม่เพียงแจกันดอกไม้เท่านั้น ยังมีของตกแต่งที่เป็นกระเบื้องภายในห้อง ต่างมีรอยแตกร้าวที่ต่างระดับกันไป
ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ตงฟางหลีไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่แจกันดอกไม้กลับแตกเสียได้ เกรงว่าจะเป็นคลื่นความอาฆาตแค้นของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน