“เจ้าลืมวันมงคลของทุกเดือนไปแล้วหรือ?” ตงฟางหลีกล่าว “วันรุ่งพรุ่งนี้ เจ้าจักต้องเข้าวังพร้อมกับข้า ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับต่างก็จัดเตรียมเอาไว้ให้เจ้าครบหมดแล้ว”
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ในทันทีว่า วันพระบรมราชสมภพขององค์จักรพรรดินั้นเป็นวันยี่สิบสามของเดือนหนึ่ง ฉะนั้นแล้ววันที่ยี่สิบสามของทุกเดือนนั้น จึงถือว่าเป็นวันมงคล ดังนั้น ทุก ๆ วันของวันนี้ เหล่าสมาชิกภายในราชวงศ์ทั้งหลายต่างก็จำเป็นต้องเข้าไปเข้าเฝ้า
แท้จริงแล้ว ถือเป็นวันกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันภายในครอบครัวทุกเดือนเสียมากกว่า
นับว่าราชวงศ์นี้น่าสนใจไม่น้อยเลย บรรดาเหล่าท่านอ๋องและพระชายาที่อาศัยอยู่นอกพระราชวังนั้น หาได้จำเป็นต้องเข้าวังเพื่อมาเข้าเฝ้าทุกวันไม่ มีเพียงวันมงคลเท่านั้นถึงจะได้เข้าวังเพื่อมาเข้าเฝ้าพร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้
เนื่องจากฉินเหยี่ยนเย่ว์ถือเป็นสะใภ้ของราชวงศ์ นางย่อมต้องเข้าร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะหันไปมองตงฟางหลีที่กำลังยืนแผ่กลิ่นอายเย็นชาอยู่ด้านข้างประตู
บุรุษผู้นี้ เสมือนกับก้อนเมฆก็ไม่ปาน ลอยไปลอยมาหาได้มีตัวตนจับต้องได้ไม่
ฉินเหยี่ยนเย่ว์สังเกตคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ทว่า นางหาได้เห็นร่องรอยความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาไม่ เสมือนกับว่าเรื่องราวเจ็ดวันก่อนมิได้เกิดขึ้นเลยสักนิด นางถึงได้วางใจลง "ท่านอ๋องเดินทางมาบอกกับหม่อมฉันด้วยตนเองเช่นนี้ หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักเพคะ"
ตงฟางหลีเหลือบมองนางด้วยท่าทีเย็นชา "หากองครักษ์ของข้ามาได้ยินเช่นนี้ แต่ละคนคงได้ตกใจขวัญผวาเป็นแน่"
ฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงหัวเราะออกมาในทันที "ข้าหาใช่เสือไม่ จักไปจับพวกเขากินได้อย่างไร?"
“วันรุ่งพรุ่งนี้เช้า เจ้ามาที่ตำหนักหมิงอวี้ อย่าได้ชักช้า” ตงฟางหลีกล่าว “วันมงคลพรุ่งนี้นับว่าพิเศษกว่าทุกครั้ง อีกทั้ง นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เจ้าเข้าร่วมอีกด้วย เจ้าอย่าได้อยู่ห่างกายข้าเป็นอันขาด อย่าได้คิดที่จะทำตัวโดดเด่นด้วยเล่า”
“เพคะ หม่อมฉันจะพยายามถ่อมตัวเข้าไว้” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าว
ตงฟางหลีมิคิดเลยว่านางจักตกปากรับคำอย่างง่ายดายเช่นนี้ เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันกายจากไป “ข้าเพียงแค่มิอยากตัดกิ่งก้านที่แผ่เข้ามาเท่านั้น”
ตงฟางหลีหาได้คิดที่จะหยุดฝีเท้าไม่
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงนั้น จ้องมองไปยังร่างสูงของตงฟางหลีที่ค่อย ๆ เดินจากไป จู่ ๆ ก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะตะโกนร้องเสียงสูงไล่ตามหลังไปว่า "ท่านอ๋องเพคะ เมื่อไม่นานหม่อมฉันสั่งให้คนมาทำการซ่อนแซมหลังคาเรือน ทั้งยังเพิ่มเครื่องเรือนใหม่ ๆ เข้ามาอีกด้วย ทั้งหมดรวมเป็นสามร้อยตำลึงเพคะ หม่อมฉันให้คนลงชื่อท่านเอาไว้แล้ว ท่านอย่าลืมไปจ่ายให้หม่อมฉันด้วยเล่า”
ร่างของตงฟางหลีพลันหยุดชะงักไปชั่งครู่
“กลิ่นอายสังหารที่ท่านปล่อยออกมาในคราที่แล้ว ทำเอาแจกัน กาน้ำชา แก้วและของอีกมามายแตกหักไปหมดแล้ว เดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่ท่านอ๋องต้องชดใช้ให้กับหม่อมฉัน อีกทั้ง หม่อมฉันยังสั่งให้คนช่วยสร้างโรงครัวเล็ก ๆ ขึ้นมาอีกด้วย ทั้งยังให้ทางกองคลังช่วยจัดสรรปันส่วนเรื่องเงินและอาหารการกินตามที่ตำแหน่งพระชายาเช่นหม่อมฉันควรจักได้ก็พอแล้วเพคะ…”
ในยามที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์ยังเอ่ยเจื้อแจ้วต่อไปไม่มีหยุดนั้น ตงฟางหลีก็ได้เดินจากไปไกลแล้ว
“พระชายาเพคะ” เฟ่ยชุ่ยพลางเดินเข้ามาหา “เมื่อครู่บ่าวเพิ่งพบกับท่านอ๋องไปเพคะ สีหน้าของท่านอ๋องดูไม่ค่อยดีนัก”
“มิต้องไปสนใจเขาหรอก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าว “มา เจ้าไปเอาเก้าอี้มานั่งตรงนี้”
เฟ่ยชุ่ยมีท่าทีประหม่าไปในทันที “เอ่อ บ่าวจักกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ให้บ่าวยืนเถิดเจ้าค่ะ”
“ให้เจ้าไปเอาเก้าอี้มา ก็ไปเอามาเสีย” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าวออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่าย “เจ้าจักพูดมากไปไย เร็วเข้า”
เฟ่ยชุ่ยจึงเดินไปขยับเก้าอี้ตัวเล็กมา ก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทีไม่ค่อยสบายใจนัก
“มีข่าวดีหนึ่งเรื่องและข่าวร้ายอีกสองเรื่อง เจ้าอยากฟังเรื่องใดก่อน?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยถาม
“ข่าวร้ายเพคะ” เฟ่ยชุ่ยกล่าว
“ข่าวร้ายเรื่องแรกก็คือ โรคปอดของเจ้าเป็นเจ้าแมวตัวนั้นที่แพร่เชื้อมาให้ ถึงแม้ฟังดูแล้วมันอาจจะตลกไปบ้าง ทว่า นี่คือเรื่องจริง” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่มองเห็นสีหน้าแปลกประหลาดใจของเฟ่ยชุ่ยนั้น จึงเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ข่าวร้ายเรื่องที่สองคือ ข้ายังมิมีตัวยาใดมารักษาเจ้าให้หายขาดได้ มีเพียงแต่ต้องรักษาไปตามอาการเท่านั้น เจ้าอาจจะต้องทนกับอาการเช่นนี้ไปอีกสักพัก”
“เช่นนั้น ข่าวดีล่ะเจ้าคะ?” เฟ่ยชุ่ยพลันกำมือแน่นขึ้นมาในทันที
“ข่าวดีก็คืออาการป่วยของเจ้าหาใช่วัณโรคไม่ แต่เป็นการติดเชื้อจากปรสิต โรคปอดอักแสบจากปรสิตนั้นหาใช่โรคที่มิอาจรักษาให้หายได้ไม่” ฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงกล่าวขึ้นมาอีกว่า “เจ้ากินยาแก้อักเสบก่อนเสีย แล้วข้าจึงจักเขียนเทียบยาอีกตัวที่ไปฆ่าเชื้อปรสิตเหล่านั้น แล้วจึงคอยรักษาอาการที่เหลืออยู่ของเจ้า ไม่นานก็คงหายขาด”
มิน่าเล่าแหวนของนางจึงมิตอบสนองอันใดออกมาเลย นั่นเป็นเพราะเฟ่ยชุ่ยเป็นโรคปอดอักแสบจากปรสิต เพียงแค่ใช้ยาปฏิชีวนะต้านเชื้อแบคทีเรียจึงได้ประโยชน์ไม่มากนัก
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานั้น ภูมิคุ้มกันของนางต่ำลงเนื่องจากปรสิตที่อยู่ในปอด ทั้งยังมีอาการติดเชื้อแบคทีเรียและมีอาการอักเสบเพิ่มด้วยเช่นนี้ เพียงใช้แค่แอสไพลินก็สามารถจัดการปัญหาทุกอย่างได้แล้ว
อีกทั้ง แคปซูลแอสไพรินเองก็ปรากฏขึ้น ก่อนที่นางจะพบเจออาการป่วยของเฟ่ยชุ่ยเสียอีก
ที่แท้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว
“ในเมื่อเรื่องทุกอย่างเป็นเช่นนี้แล้ว ยินดีด้วยเฟ่ยชุ่ย” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าว “เจ้าลงไปพักผ่อนเสียเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน